โรคในเด็กที่พบบ่อย ที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง

วัยเด็ก เป็นช่วงวัยที่ต้องดูแลใส่ใจในเรื่องของสุขภาพเป็นพิเศษ เพราะระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเด็ก ๆ นั้นไม่เหมือนกับผู้ใหญ่  และมีภูมิคุ้มกันไม่มากเท่ากับในผู้ใหญ่ ดังนั้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสต่าง ๆ เด็กๆมักมีเรื่องเจ็บป่วยอยู่เสมอ เราจึงอยากแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักกับโรคในเด็กต่างๆ ที่ถือเป็นวายร้ายของเจ้าตัวน้อย พร้อมลักษณะอาการ เพื่อให้เตรียมรับมือได้อย่างดีที่สุดหากเกิดขึ้นกับลูกรักของคุณ เพื่อการป้องกัน และรู้เท่าทันอาการ หากลูกป่วยหรือมีการติดเชื้อต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น

โรคในเด็ก ที่พบบ่อย ที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง

โรคไข้หวัดในเด็ก

  • เกิดจากเชื้อไวรัสทางเดินหายใจได้หลายชนิด โดยติดต่อกันทางน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม 
  • อาการมักไม่รุนแรงมาก มีไข้ต่ำ หรือไม่มีก็ได้ มีอาการไอ  เจ็บคอ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ส่วนมากในช่วงแรกจะมีน้ำมูกใส ถ้าเป็นหลายวัน สีน้ำมูกจะข้นขึ้น นอกจากนี้จะมีอาการคัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก ในเด็กเล็กอาจจะมีอาการกวน หรืองอแงมากกว่าปกติสามารถหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
  • การรักษา โดยการดูแลเบื้องต้นเมื่อมีไข้ คือ การให้รับประทานยาลดไข้ และเช็ดตัว ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ พาราเซตามอล เพราะมีความปลอดภัยสูง และผลข้างเคียงน้อย ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และยาอีกชนิดหนึ่งคือ ไอบูโพรเฟน ก็สามารถบรรเทาอาการลดไข้ได้ดี แต่มีผลข้างเคียงมากกว่า อาจทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ ต้านการทำงานของเกล็ดเลือด และการทำงานของระบบไตลดลง ดังนั้น จึงควรระมัดระวังและไม่ควรใช้ยาตัวนี้ ในเด็กที่มีอาการเสี่ยงไข้เลือดออก
  • การป้องกัน ควรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป และปลูกฝังการล้างมือเป็นประจำ รับประทานอาหารที่สะอาด สดใหม่ มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนตามที่แพทย์แนะนำ

โรคไข้หวัดใหญ่ 

  • เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อินฟลูเอนซา 
  • อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา คือ มีไข้ ตัวร้อน น้ำมูกไหล แต่มีความรุนแรงและมีโอกาสพัฒนาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี และระบาดในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู โดยเฉพาะฤดูฝนและหนาว 
  • การรักษา จะรักษาตามอาการไข้หวัด หรือในบางรายอาจได้รับยาต้านเชื้อไวรัสร่วมด้วย ควรพักฟื้นให้เพียงพอ เพราะร่างกายจะอ่อนเพลียและต้องการพักผ่อนมากกว่าปกติ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ คือ ภาวะขาดน้ำ การติดเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะต่างๆ เช่น หู ไซนัส หลอดลม และปอด เป็นต้น
  • การป้องกัน ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำทุกปี หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยและเสมหะของผู้ป่วย ล้างมือสม่ำเสมอ และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน

โรคไข้เลือดออก

  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี ซึ่งเป็นไวรัสชนิดหนึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค
  • อาการ คือ มีไข้สูงลอยอย่างต่อเนื่อง 39-41 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2-7 วัน, หน้าแดง ปวดศีรษะ  ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดกระบอกตา, เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือใต้ชายโครงขวา, มีเลือดออก เช่น จุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน  และในรายที่อาการรุนแรงอาจพบว่ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดเกิดขึ้น หากมีอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
  • การรักษาจะดูแลตามอาการ  เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น เช็ดนาน 10-15 นาที การเช็ดตัวลดไข้จะทำให้ผู้ป่วยสบายตัวขึ้น, ให้รับประทานยาลดไข้ พาราเซตามอล โดยควรรับประทานยาพาราเซตามอลห่างกันอย่างน้อย 4-6  ชม./ครั้ง และไม่ควรรับประทานยาแอสไพริน หรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออก  และดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย โดยให้จิบทีละน้อย ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว และรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง แตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันการสับสนว่าลูกอาเจียนเป็นเลือดหรืออาหาร ติดตามอาการ ตามคำแนะนำของแพทย์  โดยเฉพาะช่วง 3-5 วัน หลังจากเริ่มมีไข้
  • การป้องกัน คือ ป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย
โรคมือเท้าปาก

โรคมือเท้าปาก 

  • เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส พบมากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โดยเด็กเล็กอาการจะรุนแรงกว่าในเด็กโต
  • อาการของโรค มีตุ่มพอง ผื่นหรือแผลอักเสบบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และภายในปาก มีไข้สูง ไอ เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียในเด็กเล็กจะมีอาการงอแงไม่สบายตัว หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายใด อาการป่วยจะทุเลาลง และหายไปในระยะเวลาประมาณ 10 วัน หากมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ซึมลง ปวดศีรษะมาก ปวดต้นคอ เพ้อ ควรพบแพทย์ทันที
  • การรักษา ในปัจจุบันยังไม่มียารักษามือเท้าปากโดยเฉพาะ จึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่นเช็ดตัวให้ยาลดไข้ ใช้ยาชาบรรเทาการเจ็บแผลในปาก ฯลฯ จนกว่าอาการดีขึ้น อย่างไรก็ดี ควรต้องระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจมีได้ เช่นภาวะแทรกซ้อนที่ระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เยื่อบุสมองอักเสบ สมองอักเสบ แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน เป็นต้น และภาวะแทรกซ้อนระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต เช่น ภาวะน้ำท่วมปอดเฉียบพลัน ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นต้น
  • การป้องกัน หลีกเลี่ยงการคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย ควรล้างทำความสะอาดมือก่อนหยิบจับอาหาร ไม่ใช้สิ่งของหรือภาชนะร่วมกับผู้อื่น และรับประทานอาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม และดื่มน้ำสะอาด และแยกเด็ก ไม่ควรพาไปเที่ยว อาจจะแพร่เชื้อไปสู่เด็กอื่นได้ เด็กวัยเรียน ควรหยุดเรียน 1 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มมีผื่น

โรค RSV

  • เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV 
  • เป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งการติดต่อของโรคสามารถติดต่อผ่านทางน้ำลาย น้ำมูก หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อไวรัส การติดเชื้ออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนของโรค ที่พบมากคือ หูชั้นกลางอักเสบ ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม
  • อาการของโรค คือ มีไข้ ไอรุนแรง จาม หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจเร็ว มีเสียงวี๊ด เสมหะมาก ซึม กินอาหารได้น้อยลง และที่สำคัญหากลูกมีโรคประจำตัวอย่างหอบหืด ภูมิแพ้ พ่อแม่ยิ่งไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการป่วยของลูก
  • การป้องกัน หมั่นล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือให้คนแปลกหน้าจูบหรือหอมแก้มเด็กเล็ก ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ และดูแลอากาศในบ้านให้ปลอดโปร่ง

โรคอีสุกอีใส

  • เป็นโรคติดต่อที่แพร่ผ่านทางลมหายใจ ไอ จาม การสัมผัสกับผู้ป่วยหรือใช้ของร่วมกัน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา
  • อาการ  คือ จะมีไข้ต่ำ หรือไข้สูงก็ได้ ประมาณ 1-2 วัน มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ หลังจากเป็นไข้จะมีผื่นแดงเม็ดเล็กๆ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส โดยมีจำนวนตุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะขึ้นตรงบริเวณลำตัวก่อน ลามไปที่คอ หน้า ศีรษะ แขนขา และลามไปได้ทั้งตัว หรือแม้ตามเยื่อบุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา เมื่อเวลาผ่านไปตุ่มใสจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น มีขนาดใหญ่และแตกได้ง่าย หรือฝ่อกลายเป็นสะเก็ด เมื่อโรคหายแล้วจะยังคงมีเชื้อบางส่วนหลงเหลืออยู่ และเชื้อชนิดนี้มักจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อยามที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำลง
  • การรักษา เป็นรักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ถ้ามีอาการไข้ให้เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามกินยาแอสไพรินเพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือกินยาต้านฮิสตามีน บรรเทาอาการคัน
  • การป้องกัน โดยให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกใสได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และเด็กเล็กฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่ออายุ 1 ถึง 1 ปีครึ่ง และเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี และเด็กโตและผู้ใหญ่ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2 เดือน ทั้งนี้ การฉีดวัคซีน 2 เข็ม เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรค และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ดีขึ้น

โรคหัด

  • โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส มักจะพบได้เสมอในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แต่มักไม่พบในทารกอายุต่ำกว่า 6-8 เดือนเนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากมารดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ 
  • อาการของโรคมักจะเกิดขึ้น 7-10 วัน โดยเด็กๆ จะมีไข้สูง ผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย อาการคล้ายโรคหวัด 
  • การรักษา เนื่องจากไม่มียาต้านไวรัสโรคหัดโดยจำเพาะ ดังนั้นหากเด็กเป็นโรคหัด ให้ดูแลเด็กเหมือนเป็นไข้หวัด คือ ดูแลแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนมากๆ พยายามให้เด็กกินอาหารที่เน้นโปรตีน หากมีไข้ให้กินยาพาราเซตามอลในปริมาณตามที่แพทย์แนะนำ และเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ ในกรณีที่เด็กมีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กมักมีอาการของโรคหัดที่รุนแรงและมีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้มากกว่าผู้ป่วยทั่วไป หากเด็กมีอาการไอมาก หอบหรือหายใจเร็วกว่าปกติ แสดงว่าอาจมีปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบแทรกซ้อน หากเด็กมีอาการซึมและชัก อาจเป็นสัญญาณอันตรายว่าเด็กมีโรคสมองอักเสบแทรกซ้อน ดังนั้นผู้ปกครองควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากสงสัยว่าเด็กเกิดโรคแทรกซ้อน ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
  • การป้องกัน โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดได้แนะนำให้ฉีดเข็มแรกเมื่อเด็กอายุได้ 9-12 เดือน และให้ฉีดเข็มที่ 2 เมื่ออายุได้ 4-6 ปี และข้อดีอย่างหนึ่งของโรคหัดก็คือ โดยมากแล้วเด็กๆ ที่ป่วยเป็นโรคหัดจะหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องกินยา 
โรคไอกรน

โรคไอกรน

  • เป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Bordetella pertussis (B. pertussis)
  • อาการเมื่อติดเชื้อโรคช่วงแรก เด็กๆ จะมีอาการคล้ายโรคหวัดธรรมดา จากนั้นอาการจะเพิ่มมากขึ้น โดยจะไอมากขึ้น และหายใจเข้าแรงจนมีเสียงวู้บ อาการของเด็กโตที่ป่วยเป็นโรคไอกรนจะไม่รุนแรงนัก แต่จะอันตรายมากสำหรับเด็กทารกวัยต่ำกว่า 6 เดือน จึงควรพาลูกน้อยหาหมอทันทีที่เริ่มมีอาการ 
  • รักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ และโดยทั่วไปอาการป่วยจะกินเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์
  • การป้องกัน คือ การฉีดวัคซีน กลุ่มแรกเป็นการให้วัคซีนในเด็กทารกแรกเกิด โดยปกติแล้ววัคซีนไอกรนจะบรรจุรวมอยู่ในวัคซีนเข็มรวมป้องกันทั้งหมด 3 โรค ได้แก่ ไอกรน คอตีบ และบาดทะยัก สำหรับวัคซีนไอกรนมี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่มีสเต็มเซลล์และชนิดไร้เซลล์ โดยวัคซีนที่ถูกบรรจุรวมอยู่ในวัคซีนไอกรน คอตีบ และบาดทะยักจะเป็นชนิดที่มีสเต็มเซลล์ ให้ผลลัพธ์ดีเทียบเท่ากับชนิดไร้เซลล์ แต่มักมีผลข้างเคียงมากกว่าชนิดไร้เซลล์ ได้แก่ ปวดบวมบริเวณที่ฉีดหรือมีไข้

โรคอุจจาระร่วง

  • อาจเกิดได้ทั้งจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย พบมากในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากได้รับเชื้อที่ปนเปื้อนมากับอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือการหยิบสิ่งของเข้าปาก
  • อาการเบื้องต้นถ่ายเหลว อาจมีไข้ร่วมด้วย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เมื่อเด็กมีอาการท้องเสีย หรือมีอาเจียน เด็กจะมีอาการขาดน้ำ และเกลือแร่ ฉะนั้นพ่อแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ควรรีบพบแพทย์ทันที
  • การรักษา โรคอุจจาระร่วง ไม่มียารักษาเฉพาะ แต่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ด้วยวิธีรักษาตามอาการ หากเด็กกินไม่ได้ ต้องให้น้ำ/เกลือแร่ทดแทนทางหลอดเลือดดำ เมื่อมีไข้ รักษาอาการไข้โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้  หากปวดท้องหรือท้องอืด ควรให้ยาขับลม หากเด็กหยุดอาเจียน ให้รับประทานข้าวต้มหรือโจ๊กได้
  • การป้องกัน การป้องกัน ล้างมือให้สะอาด ดื่มน้ำสะอาด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ล้างขวดนมให้สะอาด กำจัดขยะมูลฝอยและถ่ายอุจจาระให้ถูกสุขลักษณะ และปัจจุบันโรคท้องเสียที่เกิดจากไวรัสโรต้ามีวัคซีนในการป้องกัน ชนิดหยอดที่ใช้ได้เฉพาะในเด็กเล็กเท่านั้น ลดความรุนแรงของโรค และมีความปลอดภัยสูง โดยจะเริ่มหยอดครั้งแรกในเด็กที่มีอายุเกิน 6 สัปดาห์ ขึ้นไปและจะให้ครั้งต่อไปห่างจากครั้งแรก 4 สัปดาห์ โดยหยอดทางปาก 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน สำหรับเด็กโตให้เน้นด้านการรักษาสุขอนามัยส่วนตัว

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  • เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงทางระบบประสาทอย่างหนึ่งที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบได้บ่อยในทารกแรกเกิด และ วัยเด็ก   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อายุต่ำกว่า 2 ปี   
  • อาการเมื่อเด็กติดเชื้อ อาจมีอาการไข้สูง ซึม ชักเกร็ง แขนขาอ่อน พ่อแม่ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเพราะเด็กเล็กไม่สามารถบอกอาการได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์เนื่องจากเชื้อนิวโมคอคคัสแพร่กระจายผ่านทางระบบทางเดินหายใจ 
  • การรักษา จะได้รับยาปฏิชีวนะให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค โดยแพทย์จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 7-21 วันขึ้นอยู่กับว่าเป็นเชื้อตัวใด โดยระหว่างที่ทำการรักษา แพทย์จะประเมินถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น น้ำในโพรงสมอง สมองบวม หรือควบคุมอาการชัก และเมื่อกลับบ้านแล้ว แพทย์จะติดตามพัฒนาการของเด็ก การได้ยิน ตลอดจนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
  • การป้องกันควรเลี่ยงพาเด็กไปในที่แออัด หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากากอนามัย และฉีดวัคซีนเสริมภูมิต้านทาน โดยฉีดเมื่ออายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน, ถ้าเริ่มฉีดในเด็กอายุ 7-11 เดือน ให้ฉีดสองครั้งห่างกันสองเดือน และกระตุ้นซ้ำเมื่ออายุ 12-15 เดือน, ส่วนเด็กอายุ 1-5 ปีที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้ ให้ฉีดครั้งเดียว ยกเว้นในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรง โดยให้ฉีดสองครั้งห่างกันสองเดือน

โรคภูมิแพ้

  • โรคภูมิแพ้จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในเด็ก ที่ร่างกายกำลังเติบโตและพัฒนาขึ้นตามวัย ส่วนใหญ่อาการภูมิแพ้มักจะไม่รุนแรง และไม่เป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมต่างๆ ที่พวกเขาโปรดปราน 
  • อาการทั่วไปของโรคภูมิแพ้ คือ อาการจาม ตาแดงและระคายเคืองจนถึงคัน รวมทั้งอาการไอ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ หากสงสัยว่าลูกน้อยมีอาการแพ้สิ่งใดหรือไม่ 
  • โรคภูมิแพ้สามารถรักษาได้ด้วยยาที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับอาการแพ้ของตัวเองได้ดีขึ้น 
  • การป้องกัน หากรู้ว่าเด็กแพ้สิ่งไหน ต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ โดยอาการภูมิแพ้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น นอกจากป้องกันโรคกำเริบแล้วยังช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนได้ด้วย

 โรคไอพีดีและปอดบวม

  • โรคไอพีดี หรือที่เรียกว่า Invasive Pneumococcal Disease (IPD) คือ โรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ  นิวโมคอคคัส  ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวมหรือปอดอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลการประเมินขององค์กรอนามัยโลกและยูนิเซฟพบว่า ปอดบวมเป็นโรคที่คร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้สูงถึง 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าโรคเอดส์ มาลาเรีย และหัดรวมกัน
  • อาการของการติดเชื้อนิวโมคอคคัสมีได้หลายอย่างขึ้นกับอวัยวะที่มีการติดเชื้อ หากเป็นโรคปอดอักเสบ มักจะมีอาการ ไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย หากมีการติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง ในเด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม ชัก และอาจเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว หากเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยก็จะมีอาการไข้สูง หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว อาจมีภาวะช็อค และอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้เชื้อนิวโมคอคคัสยังสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้อีกหลายชนิด เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ 
  • การรักษาโรคไอพีดี แพทย์จะตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจร่างกายและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจจำนวนเม็ดเลือดขาว รวมถึงการเพาะเชื้อในน้ำไขสันหลังหรือเลือด เมื่อตรวจพบว่าอาการของผู้ป่วยเกิดจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสแล้ว แพทย์จะให้ยาต้านจุลชีพในขนาดที่เหมาะสมกับโรคและอาการที่วินิจฉัยพบ
  • การป้องกัน  ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไอพีดีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดแรกเป็นวัคซีนชนิดโพลีแซคคาไรด์ ใช้ฉีดเฉพาะกับเด็กที่อายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้และผู้สูงอายุเท่านั้น ชนิดที่สองเป็นคอนจูเกตวัคซีน ซึ่งสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี สามารถป้องกันโรคไอพีดีจากเชื้อสายพันธุ์ในวัคซีนได้ร้อยละ 97.3 โดยสามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ถึง 9 ปี
           
โรคเฮอร์แปงไจน่า

โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina)

  • โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มคอกซากีไวรัสกรุ๊ปเอ (Coxsackie viruses A sero type 1 – 10, 16 และ 22) และเอ็นเทอร์โรไวรัส (Enterovirus)
  • อาการที่สังเกตได้ โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่อาจมีไข้เฉียบพลัน ไข้อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ปวดตามตัว อาจมีอาเจียน และอาการเด่นคือจะมีอาการเจ็บบริเวณเพดานปากและคอนำมาก่อน ต่อมา(ภายใน 1 วัน) จะมีจุดแดงๆ บริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และอาจมีตุ่มแดงที่ทอนซิล หรือบริเวณในลำคอด้วยก็ได้ อาจเป็นแผลเล็กๆ ตรงกลางตุ่มน้ำนั้น หรืออาจมีการอักเสบรอบๆ แผลได้ จำนวน 5 – 10 ตุ่ม อย่างไรก็ตาม ไข้จะลดลงภายใน 2 – 4 วัน แต่แผลอาจคงอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์
  • การรักษา โรคเฮอร์แปงไจน่ารักษาตามอาการ ได้แก่ เช็ดตัวเพื่อช่วยลดไข้ ให้ยาพาราเซตามอล ไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส หรือยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะ) ยกเว้นในรายการที่สงสัยว่ามีอาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากพบอาการไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน หรือไข้สูง รับประทานอาหารและดื่มนมไม่ได้ มีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยลงและ ซึมลง ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ โดยทั่วไปอาการต่าง ๆ จะดีขึ้นและหายได้ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของเฮอร์แปงไจน่านั้นพบได้น้อย แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เช่น สมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถ้าเด็กมีอาการซึมลง อ่อนแรง อาเจียนมาก ทานไม่ได้ ชัก หอบเหนื่อย ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์อย่างเร่งด่วน
  • การป้องกัน ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเฮอร์แปงไจน่า วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาด ระวังการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก ข้าวของเครื่องใช้ของเด็กที่เป็นโรค ซึ่งรวมทั้งของเล่นต่างๆ ด้วย หากเด็กป่วยให้งดไปโรงเรียน 7 วัน

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรียไมโครพลาสม่า (Mycoplasma) 

  • ไมโคพลาสมา (Mycoplasma) คือ แบคทีเรียขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่ปราศจากผนังเซลล์ เชื้อนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ย่อย แต่สายพันธุ์ที่สำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในคนได้บ่อย คือ Mycoplasma pneumoniae ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยสามารถพบการติดเชื้อได้ในคนทุกช่วงวัย แต่พบได้บ่อยในคนอายุน้อย
  • อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อไมโครพลาสมาจะคล้ายกับอาการของไข้หวัดใหญ่ โดยจะมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ลักษณะเด่นของโรคนี้คือ จะมีอาการไอรุนแรง และมีการติดต่อได้ง่ายจากการหายใจสูดเอาละอองของเชื้อที่ปนมากับเสมหะ หรือน้ำมูก เมื่อได้รับเชื้อตัวนี้เข้าไปแล้ว จะใช้เวลาฟักเชื้อ 1 – 4 สัปดาห์ และจะค่อยๆ แสดงอาการข้างต้นออกมา  หากลูกน้อย หรือบุคคลในครอบครัวของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยเร็วต่อไป เช่น มีไข้เกิน 38 องศา ไอมาก หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม ปวด เมื่อยกล้ามเนื้อ และบางรายมีผื่นแดงตามผิวหนัง
  • การรักษา ตามอาการ และการรักษาประคับประคอง เช่น การให้ยาลดไข้ การให้ออกซิเจน หรือใช้เครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบ การให้ยากระตุ้นหัวใจในผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือให้ยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อได้ ได้แก่ ยากลุ่ม macrolide เช่น azithomycin หรือกลุ่ม quinolone เช่น levofloxacin
  • ป้องกัน ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น สถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ

ตรวจโรคในเด็ก ที่ภูเก็ตตรวจได้ที่ไหน?

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • ฮอร์โมน คืออะไร? และสำคัญต่อร่างกายอย่างไร?

    ฮอร์โมน (Hormone) คือ สารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นมาจากต่อมไร้ท่อ (endocrine glands)  หรือเนื้อเยื่อ และลำเลียงไปตามกระแสเลือดไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ช่วยในการสื่อสารระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่ร่วมกับอวัยวะต่างๆ และควบคุมระบบของร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ  โดยฮอร์โมนจะหลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อ แล้วซึมเข้าสู่เส้นเลือด อาศัยระบบไหลเวียนโลหิต ส่งต่อไปยังเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายทำงานได้ปกติ

  • โรคกรดไหลย้อน

    โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease: GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของสารคัดหลั่งในกระเพาะอาหาร   ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรด หรืออาจเกิดจากด่าง หรือเป็นแก๊สก็เป็นได้ กลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติร่างกายคนเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้างโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากขึ้น หรือย้อนบ่อยกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวต่อกรดมากขึ้น

  • ทำความรู้จัก PMS และ PMDD เกี่ยวข้องอย่างไรกับประจำเดือน

    ผู้หญิงทุกคน คุณเคยมีอาการดังต่อไปนี้หรือเปล่า? อารมณ์แปรปรวนก่อนมีประจำเดือน เศร้า หดหู่ เซ็ง หงุดหงิดง่าย ร้องไห้บ่อย ปวดหัวตัวร้อนไข้ขึ้น ตัวบวมท้องอืด  น่าเบื่อไปหมดทุกอย่าง อาการเหวี่ยงวีนของสาวๆ บางทีสาวๆ อย่างเราก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ซึ่งจะเป็นช่วงสัปดาห์ก่อนประจำเดือน อาการเหล่านี้ เป็นสัญญาณบอกว่าประจำเดือนกำลังจะมา เรามาเช็คอาการที่มักจะเป็นก่อนมีประจำเดือน ว่าเราจัดอยู่ในกลุ่มอาการแบบไหน ต้องรักษาไหม?

  • โรคอ้วนเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไรบ้าง?

    เมื่อร่างกายของคนเรามีการสะสมของไขมันในส่วนต่างๆมากกว่าปกติ นอกจากจะทำให้สูญเสียความมั่นใจในรูปร่างแล้วนั้น โรคอ้วน และภาวะอ้วนลงพุง ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ในหลาย ๆ ส่วน บางโรคอาจจะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน ในขณะที่บางโรคก็อาจไม่แสดงอาการภายนอกแต่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว   

    ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคร้าย หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมาได้ในอนาคต  เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคเบาหวาน, โรคไขมันพอกตับ, โรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น

  • ปัสสาวะบ่อยเกิดจากสาเหตุอะไร?

    ปัสสาวะบ่อย (Frequent Urination) เป็นอาการที่พบบ่อย อาจเกิดจากอาหารหรือน้ำที่กินมากไป ในขณะเดียวกันอาจเป็นอาการนำของโรคร้ายได้เช่นกัน ซึ่งเป็นภาวะความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หากกำลังเดินทางหรือทำงานอยู่ ก็ต้องรีบมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ แม้กระทั่งในตอนกลางคืนที่ไปรบกวนการนอนหลับ ซึ่งอาจเป็นอันตรายและก่อโรคร้ายในอนาคต   สำหรับปกติทั่วไปแล้วเมื่อรู้สึกอยากขับถ่ายของเหลวแต่ติดภารกิจอยู่ ก็สามารถอั้นได้ แต่ผู้ป่วยภาวะนี้น้ำยังไม่เต็มกระเพาะปัสสาวะก็เกิดการบีบตัว เมื่อปลดเปลื้องของเสียจะมีปริมาณน้อยกว่าการปวด เสี่ยงที่กลั้นไม่อยู่ปล่อยราดออกมาได้

  • โรคมะเร็ง

    โรคมะเร็ง ถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของประชากรไทยตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมะเร็งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากผลกระทบภายในและภายนอกร่างกาย ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้น ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้