โรคหูดข้าวสุก

โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum)เป็นโรคติดต่อได้จากผิวหนังสู่ผิวหนัง และจัดเป็นโรคที่ไม่รุนแรง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย และในวัยเจริญพันธุ์มักพบรอยโรคที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ติดต่อผ่านทางการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์

โรคหูดข้าวสุก

สาเหตุโรคหูดข้าวสุก

โรคหูดข้าวสุก เกิดจากเชื้อไวรัส  Molluscum contagiosum virus (MCV) ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของ poxvirus ชนิดของไวรัสในกลุ่มเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้ทรพิษไวรัสชนิดนี้เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น  และในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นโรคหุูดข้าวสุก ซึ่งเชื้อไวรัสจะเกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่เป็นผิวหนังชั้นนอกสุดเท่านั้นประมาณสัปดาห์ที่ 7 ก็จะเกิดผดที่เป็นรูปโดมจะเริ่มขึ้นบนผิวหนัง โดยทั่วไปแล้ว ตุ่มมักจะไม่แสดงอาการเจ็บปวด และไร้ความรู้สึก แต่อาจเกิดอาการคัน เจ็บ และอักเสบ (มีรอยแดงและบวม) โดยเฉพาะเมื่อเกา

อาการโรคหูดข้าวสุก  

  • พบตุ่มบริเวณผิวหนังเป็นตุ่มเดี่ยว ๆ หรืออยู่กระจุกเป็นกลุ่มได้ถึง 20 ตุ่ม เริ่มจากมีจุดสีแดง ต่อมาเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง
  • ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ผิวสัมผัสมีความเงาและเรียบ มีสีเนื้อเช่นเดียวกับผิวหนัง มีสีขาวหรือชมพู
  • อาจมีตุ่มคล้ายมีสารสีขาวอยู่ภายใน  โดยลักษณะเป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลาง คล้ายเม็ดสิวแต่ไม่มีการอักเสบ เวลาบีบออกจะได้สารสีขาวข้น
  • เกิดอาการคัน เจ็บ และอักเสบ (มีรอยแดงและบวม) โดยเฉพาะเมื่อเกา
  • สามารถเกิดได้ทุกที่บนร่างกาย แต่จะไม่เกิดบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า มักพบบริเวณใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ผิวหนังที่สัมผัสหรือเสียดสีกันบ่อย เช่น ข้อพับ
อาการโรคหูดข้าวสุก

การวินิจฉัยโรคหูดข้าวสุก

  • แพทย์จะวินิจฉัยโรคเบื้องต้นด้วยการซักถามประวัติ ลักษณะอาการของโรค
  • ตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อยืนยันการติดเชื้อได้แม่นยำมากขึ้น ซึ่งการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ สามารถทำได้หลายวิธี
    • ตรวจดูบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์
    • การขูดผิวหนัง (Skin Scraping)
    • การเก็บตัวอย่างจากบริเวณรอยโรคอย่างชัดเจนไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ (Biopsy)
  • หากมีการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ แพทย์อาจมีการตรวจถึงความเป็นไปได้ในการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ เช่น โรคเริมด้วย

การรักษาโรคหูดข้าวสุก

โดยผู้ที่ได้รับเชื้อสามารถหายเองได้ภายใน 6-12 เดือนโดยไม่ต้องรับการรักษา และการรักษาสามารถทำได้หลายวิธีหรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาด จำนวน และตำแหน่งของหูดที่เกิดภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

  • หูดข้าวสุกจะเป็นโรคที่สามารถหายได้เองเมื่อไม่ได้รับการรักษา แต่ก็เป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยหลังการรักษา หรือหลังการหายจากโรคในครั้งแรก
  • การใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) โพแทสเซียม ไฮดรอกไซด์ (Potassium Hydroxide) ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมียาในรูปแบบเจลหรือครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น ทาซาโรทีน (Tazarotene) อะดาพาลีน (Adapalene) และเตรติโนอิน (Tretinoin) ถึงแม้เป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และสตรีตั้งครรภ์ กำลังวางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา รวมถึงแจ้งแพทย์ให้ทราบถึงสภาวะต่าง ๆ ของร่างกาย
  • การจี้ทำลายโรคด้วยความเย็น (Cryotherapy/Cryosurgery) เป็นอีกรูปแบบของการใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ที่มีความเย็นจัดในการทำลายหูด
  • การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (Pulsed Dye Laser Therapy) เป็นแสงเลเซอร์ชนิดที่รักษาความผิดปกติของเส้นเลือดบนผิวหนังที่นิยมใช้โดยแพทย์ผิวหนัง
  • การขูดเนื้อเยื่อ (ขูดเอาตุ่มออกด้วยเครื่องมือพิเศษ)
  • ยารับประทาน เช่น cimetidine
  • ห้ามใช้ยาทาทุกชนิดในหญิงตั้งครรภ์ (ยกเว้น TCA) และถึงแม้ว่าจะสามารถซื้อมาทาเองได้ที่บ้าน แต่แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ก่อนเสมอ
  • ผู้ป่วยควรสังเกตลักษณะอาการของการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่รอยโรคอยู่เสมอ เช่น การมีหนอง อาการปวดบวม แดงร้อน เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเพื่อตรวจการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือเมื่อรอยโรคหรือที่แผลจากการรักษามีการเปลี่ยนแปลงไปหรือผิดปกติไปจากเดิม หรือผู้ป่วยมีความกังวลในอาการ ก็ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดด้วยเช่นกัน

ตรวจโรคหูดข้าวสุก ที่ภูเก็ตตรวจได้ที่ไหน?

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 228 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • โรคเริมที่อวัยวะเพศ

    โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) คือ อาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ บริเวณอวัยวะเพศ ส่งผลให้มีอาการเจ็บ คัน เกิดบาดแผลหรือตุ่มพองบริเวณอวัยวะเพศชาย หรือ อวัยวะเพศหญิง และอาจมีอาการเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย 

  • ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไวรัสตับอักเสบบี

    ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของโรคไวรัสตับอีกเสบ บี จะเกิดในระยะเรื้อรัง (Chronic)  ซึ่งอาจทำให้เกิดโรค ที่ร้ายแรงขึ้นได้ เช่น โรคตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากการที่เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลงไป หรือจนตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจจะต้องทำการเปลี่ยนตับหรือปลูกถ่ายตับใหม่

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ผู้หญิงควรระวัง

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบมากในผู้หญิงทั่วโลก โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์  อาจไม่มีอาการแสดงให้เห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจนนำไปสู่อาการที่รุนแรงขึ้น ซึ่งบางโรคร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต บางโรครักษาไม่หาย  อาจก่อให้เกิดความเจ็บปวด และภัยต่อสุขภาพในระยะยาว  ซึ่งผู้หญิงส่วนน้อย ที่จะตระหนักถึงความสำคัญของการมีเพศสำคัญอย่างปลอดภัย ฉะนั้นทุกคนควรเรียนรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตนเอง เพื่อรู้เท่าทันอันตรายและรักษาได้ทันท่วงที

  • ตรวจคัดกรองไวรัสเอชไอวี

    ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีควรรีบเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อ เนื่องจากการวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความกังวลใจ นอกจากนี้ถ้าผู้รับการตรวจติดเชื้อเอชไอวี จะทำให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ได้รับทราบข้อมูลในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงเทคนิคในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีและนำไปสู่ผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

  • โรคไวรัสตับอักเสบซี

    ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี  สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจาม หรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน

  • โรคโลน

    โลน (Pediculosis Pubis หรือ Pubic Lice) คือ ปรสิตชนิดแมลงขนาดเล็ก มีขนาดเล็กมากประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มีขา 3 คู่ แต่ที่ปลายขาหน้าจะมีลักษณะก้ามคล้ายขาปู ภาษาอังกฤษเรียกว่า crab louse ส่วนขานี้เองที่ใช้เป็นตัวเกี่ยวเส้นขนส่วนต่าง ๆ ตามร่างกาย มักอาศัยอยู่บนผิวหนัง และขนบริเวณรอบอวัยวะเพศ สามารถแพร่กระจายได้ง่ายในระหว่างมีเพศสัมพันธ์