โรคมาลาเรียแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเขตร้อน และเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยโรคมาลาเรีย เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม ซึ่งมี 5 ชนิด และเป็นเชื้อโรคที่อาศัยในเลือด โรคมาลาเรียมีความชุกชุมตามบริเวณที่เป็นป่าเขาและมีแหล่งน้ำ ในปัจจุบันถือเป็นโรคประจำถิ่นที่ยังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งโรคมาลาเรีย ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะอาการหรือฤดูกาลเกิดโรค เช่น ไข้จับสั่น ไข้ป่า ไข้ดง ไข้ดอกสัก ไข้ร้อนเย็น ไข้ป้าง เป็นต้น
โรคมาลาเรีย คืออะไร?
โรคมาลาเรีย (Malaria) ไข้ป่า หรือไข้จับสั่น คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว ในกลุ่มพลาสโมเดียม ที่มียุงก้นปล่องเพศเมีย เป็นพาหะนำโรคมาลาเรียสู่คนจากการเข้าป่า และถูกยุงกัดจนทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรคมาลาเรียอาจทำให้มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ตัวเหลือง ตาเหลือง ไตวาย โรคมาลาเรียขึ้นสมองอาจทำให้มีอาการชักเกร็ง อวัยวะภายในล้มเหลวหลายระบบจนกระทั่งเสียชีวิต โดยมักพบโรคนี้ในเขตที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นและมีแหล่งน้ำขังตามธรรมชาติมาก ซึ่งเป็นที่อาศัยของยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะนำโรค

สาเหตุโรคมาลาเรีย
โรคมาลาเรีย เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่เรียกว่า พลาสโมเดียม (Plasmodium) มียุงก้นปล่องเพศเมีย (Anopheles Spp.) เป็นพาหะ โดยเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม (Plasmodium) มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ชนิดที่ทำให้เกิดโรคในคนมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่
- เชื้อมาลาเรียพลาสมาโมเดียมฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum: P.f) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่รุนแรงที่สุด เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรียขึ้นสมองที่เป็นเหตุให้เสียชีวิต โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน พบในไทยและพบได้บ่อยในแถบแอฟริกา เป็นชนิดที่รุนแรงที่สุดและอาจทำให้เสียชีวิตได้
- เชื้อมาลาเรียพลาสมาโมเดียม ไวแวกซ์ (Plasmodium vivax: P.v) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก แต่ก็มีรายงานว่าอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน โดยเชื้อนี้ หากไม่ได้รับการรักษาให้หาย เชื้อจะแฝงตัวอยู่ในตับไปได้นานหลายปี และสามารถกลับมาเป็นโรคซ้ำแบบเป็น ๆ หาย ๆ โดยมีระยะเวลาฟักตัว 8-14 วันพบในไทยและหลายประเทศในเขตร้อนสามารถแฝงตัวอยู่ในตับได้นานเป็นปีหลังจากติดเชื้อ
- เชื้อมาลาเรียพลาสมาโมเดียม มาลาเรียอิ (Plasmodium malariae: P.m) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือเกิดการติดเชื้อเรื้อรังโดยมีระยะฟักตัวหลังติดเชื้อไปแล้วประมาณ 18-40 วัน
- เชื้อมาลาเรียพลาสมาโมเดียม โอวาเล (Plasmodium ovale: P.o) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่สามารถแฝงตัวอยู่ในตับได้นานหลายปีหลังการติดเชื้อครั้งแรก
- เชื้อมาลาเรียพลาสมาโมเดียม โนไซ (Plasmodium knowlesi: P.k) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่มีการดำเนินโรคและแสดงอาการได้อย่างรวดเร็ว เป็นเชื้อชนิดที่พบในลิงแสมที่ติดต่อสู่คนโดยมียุงก้นปล่องที่มีเชื้อมาลาเรียเป็นพาหะนำโรค พบได้บ่อยในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในไทยพบได้บ้าง ชนิดนี้มีการดำเนินโรคอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง
เชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย คือ พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum) และรองลงมา คือ พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (P.Vivax)
ภาวะแทรกซ้อนโรคมาลาเรีย
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่
- โรคโลหิตจาง (Anemia) เชื้อมาลาเรียทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะที่เม็ดเลือดแดงไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ และอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จนทำให้เป็นโรคโลหิตจาง
- มาลาเรียขึ้นสมอง (Cerebral Malaria) เกิดจากเชื้อไข้มาลาเรียในเซลล์เม็ดเลือดแดงอุดกั้นหลอดเลือดขนาดเล็กที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้หลอดเลือดในสมองบวม ซึ่งสร้างความเสียหายให้สมองได้อย่างถาวร และอาจทำให้เกิดอาการชักหรือโคม่าและเสียชีวิตได้
- ปอดบวมน้ำ (Pulmonary Oedema) เกิดการสะสมของเหลวในปอดทำให้มีปัญหาในการหายใจ ทำให้หายใจลำบาก
- อวัยวะภายในล้มเหลว (Malaria-induced organ failure) เกิดจากเชื้อมาลาเรียทำลายตับ ไต และอาจทำให้ม้ามแตก ภาวะช็อก และเสียชีวิต
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Low blood sugar level) ไข้มาลาเรียระดับรุนแรงที่ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) และอาจทำให้มีอาการเข้าขั้นวิกฤติและเสียชีวิต
- ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Respiratory Distress Syndrome: ARDS)
- อาการช็อกเนื่องจากความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ ได้แก่
- การคลอดก่อนกำหนด (Premature birth) ไข้มาลาเรียในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลให้ทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ และอาจทำให้เสียชีวิต
- ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ
- ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์ระหว่างการคลอด
- แท้งบุตร
- ในกรณีรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์เสียชีวิต
อาการโรคมาลาเรีย
อาการของมาลาเรียจะแตกต่างกันไป ระยะเวลาที่เกิดจะขึ้นอยู่กับชนิดของโปรโตซัวที่เป็นสาเหตุ ของมาลาเรีย โดยผู้ที่ถูกยุงก้นปล่องพาหะกัดจะมีอาการติดเชื้อเป็นไข้มาลาเรียภายใน 10-14 วัน จนถึงนานหลายสัปดาห์ โดยเริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีน้ำมูก มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร โดยอาการจะแตกต่างกันตามระยะฟักตัวของเชื้อมาลาเรียสายพันธุ์ที่ติดเชื้อ รวมถึงภูมิคุ้มกันร่างกายของแต่ละบุคคลตั้งแต่มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงมีอาการรุนแรง เชื้อมาลาเรียบางสายพันธุ์ สามารถซ่อนตัวอยู่ในตับได้โดยไม่แสดงอาการใด ๆ เป็นเวลานานหลายปีก่อนที่เชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงจนทำให้มีอาการของโรคมาลาเรีย
อาการของมาลาเรียที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูง หนาวสั่น
- เหงื่อออกมาก
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ท้องเสีย
- ภาวะโลหิตจาง หรือเลือดออกผิดปกติ
- อุจจาระเป็นเลือด
- ซีด ตัวและตาเหลือง
- อาการหมดสติไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรือโคม่า
หรืออาการโรคมาลาเรีย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ไข้มาลาเรียระยะแรก หรือระยะหนาว (Cold stage) ระยะนี้มีอาการประมาณ 15-60 นาที เป็นระยะที่เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกจนทำให้มีอาการจับไข้ หนาวสั่นจนขนลุก เนื้อตัวสั่นเทา ฟันกระทบเกร็ง ไอ หายใจไม่สะดวก ความดันโลหิตสูง ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็น คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย จากนั้นอุณหภูมิร่างกายจะค่อย ๆ สูงขึ้นเข้าสู่ระยะร้อน
- ไข้มาลาเรียระยะร้อน (Hot stage) ระยะนี้มีอาการประมาณ 2 ชั่วโมงหลังระยะแรก เป็นระยะที่อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงที่ระหว่าง 39-40 องศาเซลเซียส มีไข้สูงลอย ตัวร้อนจัด ลมหายใจร้อนผ่าว ปากซีด กระหายน้ำ ชีพจรเต้นแรง ความดันโลหิตสูง หน้าแดง ผิวแดง ผิวแห้ง ปวดกระบอกตา คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะมาก กระสับกระส่าย อาจมีอาการไม่ได้สติ ในเด็กเล็กอาจมีอาการชักเกร็ง จากนั้นจะเข้าสู่ระยะเหงื่อออก
- ไข้มาลาเรียระยะเหงื่อออก (Sweating stage) ระยะนี้มีอาการประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากระยะที่สอง เป็นระยะที่ไข้ลด และเหงื่อเริ่มออกที่บริเวณขมับก่อนแล้วจึงมีเหงื่ออกทั้งตัว อุณหภูมิร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตลดลงและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยจะรู้สึกอ่อนเพลียมากและหลับไปในที่สุด จากนั้นจะเข้าสู่ระยะพัก โดยหากไม่รีบพบแพทย์เพื่อรักษาให้หาย อาการไข้มาลาเรียจะกลับมากำเริบที่ระยะแรกใหม่วนไปเรื่อย ๆ ตามวงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรีย

การวินิจฉัยโรคมาลาเรีย
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติและการเดินทางของผู้ป่วย รวมไปถึงการตรวจร่างกายและตรวจเลือด ซึ่งแพทย์อาจใช้การตรวจอื่น ๆ เพื่อช่วยในการระบุชนิดของเชื้อโปรโตซัว ได้แก่
- ตรวจสเมียร์เลือดด้วยฟิล์มหนาและบาง (Thick and Thin Blood Smear) เป็นการเจาะเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางพยาธิวิทยาในห้องปฏิบัติการด้วยเทคนิคการย้อมสีเลือด หรือสเมียร์เลือดด้วยสีไรท์-กีมซ่า (Wright-Giemsa) บนแผ่นฟิมล์หนา-บางเพื่อตรวจหาเชื้อมาลาเรียในเลือด โดยเป็นการตรวจที่มีความไวและมีความจำเพาะต่อเชื้อสูง มีความรวดเร็วแม่นยำ สามารถจำแนกเชื้อมาลาเรียได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใด รวมทั้งตรวจนับจำนวนความหนาแน่นเชื้อ และแยกระยะต่าง ๆ ของเชื้อมาลาเรียได้
- ตรวจการทำงานของตับ
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) เพื่อหาสารบ่งชี้ต่อการติดเชื้อโปรโตซัวในเลือด ตรวจวัดปริมาณความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด
- ตรวจน้ำตาลในเลือด
- ตรวจยีน หรือตรวจรหัสทางพันธุกรรม (Gene test) เป็นการตรวจหาความผิดปกติหรือความเปลี่ยนแปลงของยีนระดับ DNA เพื่อตรวจหาสิ่งบ่งชี้การติดเชื้อมาลาเรียและระบุชนิดของเชื้อมาลาเรีย เมื่อวิธีการการตรวจอื่น ๆ ให้ผลเป็นลบ มีราคาแพงมาก ไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย
- การตรวจด้วยการย้อมสีเลือดและตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
- ตรวจโดยใช้ชุดตรวจเร็ว หรือตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ (Rapid diagnostic tests: RDTs) เป็นการตรวจหาเชื้อมาลาเรียด้วยการใช้ชุดตรวจเร็วในกรณีที่ไม่สามารถส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยกล้องจุลทรรศน์ได้ เช่น ในพื้นที่ที่มีความห่างไกล เป็นชุดตรวจที่ใช้งานง่ายและให้ผลเร็ว แต่ผลการตรวจอาจไม่แม่นยำเท่าการส่งตัวอย่างตรวจที่ห้องปฏิบัติการ และไม่สามารถตรวจหาเชื้อมาลาเรียได้ครบทุกสายพันธุ์ ซึ่งมีจำหน่ายแต่ราคาค่อนข้างแพง และไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย
- การตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกันร่างกาย (Antibody level test) เป็นการตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียมหลังติดเชื้อ
- การตรวจทางชีวโลเลกุล หรือการตรวจพีซีอาร์ (Polymerase chain reaction: PCR) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อมาลาเรียในร่างกายพร้อมทั้งระบุชนิดของเชื้อ เมื่อวิธีการตรวจอื่นให้ผลเป็นลบ
- ตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy)
การรักษาโรคมาลาเรีย
โรคมาลาเรียรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที เมื่อผลการตรวจวินิจฉัยโรคยืนยันโรคมาลาเรีย แพทย์จะทำการรักษาโดยการให้ยาต้านมาลาเรียเพื่อกำจัดเชื้อมาลาเรียออกจากกระแสเลือดและช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อไข้มาลาเรีย โดยในการให้ยา แพทย์จะพิจารณาจากสายพันธุ์มาลาเรีย ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย การตั้งครรภ์ รวมไปถึงการดื้อยา ก่อนการให้ยารักษาโรคมาลาเรีย ยาต้านมาลาเรียที่นำมาใช้บ่อย ได้แก่
ยาต้านมาลาเรีย (Antimalaria drugs)
- ยาคลอโรควิน (Chloroquine) เป็นยาฆ่าเชื้อมาลาเรียได้เฉพาะบางสายพันธุ์ ในขณะที่เชื้อบางสายพันธุ์อาจดื้อต่อยาชนิดนี้
- ยาอาร์เทมิซินิน (Artemisinin) เป็นยาฆ่าเชื้อมาลาเรียที่ดีที่สุดโดยสามารถต้านเชื้อมาลาเรียได้ทุกสายพันธุ์รวมทั้งชนิดดื้อต่อยาอื่น โดยแพทย์จะให้ยาอาร์เทมิซินิน ผสมผสานร่วมกับยาชนิดอื่น 2 ชนิดหรือมากกว่า (Artemisinin-based combination therapies (ACTs) เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เช่น ยา Coartem ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรียที่ผสมกันระหว่างยาอาร์เทมิเทอร์ และยาลูมีแฟนทรีน (Artemether-Lumefantrine) หรือยาอาร์เทซูเนท และยาเมโฟควิน (Artesunate-mefloquine)
- ยามาลาโรน (Malarone) ที่เป็นยาต้านมาลาเรียที่ผสมกันระหว่างยาอะโตวาโควน และยาโปรควานิล (Atovaquone-proguanil)
- ยาควินินซัลเฟต (Quinine sulfate) ร่วมกับยาด็อกซีไซคลิน (Doxycycline)
- ยาพรีมาควินฟอสเฟต (Primaquine phosphate)
- ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine)
- ยาเมโฟลควิน (Mefloquine)
- ยาไพรมาควิน (Primaquine)
- การใช้ร่วมกันระหว่างยา Proguanil และ Atovaquone
การป้องกันโรคมาลาเรีย
- การใช้ยาป้องกันมาลาเรียจะแตกต่างกันออกไปแต่ละประเทศ และยาที่ใช้สำหรับแต่ละประเทศจะเรียงลำดับตามตัวอักษร และเปรียบเทียบคุณสมบัติของยาไว้อย่างชัดเจน ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกสำหรับการเลือกใช้ยาอย่างเหมาะสม
- ยาต้านมาลาเรียไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% เลือกใช้ยาเมื่อได้ประโยชน์จากยามากกว่าผลข้างเคียงจากการใช้ยา และต้องอาศัยวิธีการป้องกันของตนเองร่วมด้วย เช่น ใช้ยาทาไล่ยุงที่มีสารป้องกันยุง (Mosquito repellents) ที่มีส่วนผสมของสาร Diethyltoluamide: DEE เพื่อป้องกันยุง ซึ่งมีจำหน่ายทั้งรูปแบบสเปรย์ โรลออน แบบแท่งและครีม โดยอาจต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก
- ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว สวมถุงเท้า ใส่เสื้อผ้าที่เคลือบสารกันยุง
- นอนในมุ้งลวดเพื่อกันยุง ติดมุ้งลวดที่ประตู ปิดหน้าต่างไม่ให้ยุงเข้า หรือนอนในมุ้งหรือบริเวณที่ปลอดจากยุง อาจใช้มุ้งชุบยาไล่ยุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยุง
- การใช้ยาต้านมาลาเรีย ต้องพิจารณาถึงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นที่กำลังใช้อยู่ รวมไปถึงการตรวจสอบข้อควรระวังการใช้ยา เช่น การแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- เมื่อได้ยาต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพกับตนเองแล้ว ต้องใช้ยาก่อนการเดินทาง ซึ่งหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ผู้ที่ต้องเดินป่า ตั้งแคมป์ค้างคืนในป่าเขา หรือเดินทางไปยังถิ่นระบาดควรปรึกษาแพทย์ 2-3 เดือนล่วงหน้าก่อนการเดินทาง โดยเฉพาะผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
- ควรใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด
- หลังจากกลับมาจากการเดินทางควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะฟักตัวของโรค และระยะเวลาในการใช้ยาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของยา
- ในประเทศไทยโดยทั่วไปแพทย์มักไม่แนะนำให้รับประทานยาป้องกันมาลาเรีย เนื่องจากความชุกชุมของมาลาเรียยังไม่มาก แต่ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์สำหรับผู้ที่พบว่ามีไข้ภายใน 1 สัปดาห์-2 เดือน หลังออกจากป่าหรือพื้นที่เสี่ยง
- กำจัดแหล่งลูกน้ำ แหล่งน้ำขังรอบบริเวณบ้านหรือชุมชน ใช้ฝาปิดครอบภาชนะหรือถังขยะ
- หากสงสัยหรือต้องการตรวจสอบการระบาดของมาลาเรีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ตรวจสอบและหาข้อมูลได้จากกรมควบคุมโรค โทร. 1422 เพื่อการป้องกันอย่างทันท่วงที
ตรวจโรคมาลาเรีย ที่ภูเก็ตตรวจได้ที่ไหน?
ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ
ช่องทางการติดต่อ
สาขาลากูน่า
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me
สาขาในเมือง
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8 ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 288 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmctown.youcanbook.me
สาขาหอนาฬิกา
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาหอนาฬิกา 206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 696 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me