เราจะทราบได้อย่างไร? ว่าเราติดเชื้อโรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ความจริงแล้วสามารถติดต่อได้ ผ่านทางช่องทางอื่น ๆ ด้วย เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ หรือปาก หรือสัมผัสกับแผลซิฟิลิส โดยตรงเนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์กัน โดยไม่ป้องกัน หรือไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย จึงมีโอกาส เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด และการติดเชื้อจากแม่ตั้งครรภ์สู่ทารกในครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกมีความผิดปกติทางร่างกายได้ และการรับเลือดจากผู้ป่วยซิฟิลิสโดยตรง  

โรคซิฟิลิส เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัว แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ซึ่งในปัจจุบันเป็นโรคที่ร้ายแรงและระบาดหนักไม่แพ้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงานซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาการของโรคซิฟิลิสนั้น ไม่ได้มีแบบแผนที่ชัด ทำให้ในระยะแรกของการติดเชื้ออาจจะไม่ได้ทันสังเกต หรือไม่ทราบจริง ๆ ว่าป่วยเป็นซิฟิลิส 

ถึงแม้ว่าโรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ไม่สามารถหายไปได้เอง ต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องจึงจะหายขาด ไม่เช่นนั้นอาการของโรคจะสามารถไปถึงระยะที่ทำลายระบบประสาทได้ ซึ่งอันตรายถึงชีวิต

ดังนั้น การเข้ารับการตรวจหาเชื้อโรคซิฟิลิส เมื่อไปได้รับความเสี่ยงมาอาจช่วยให้ คุณหยุดเชื้อโรคซิฟิลิส ไม่ให้เข้าสู่ ระยะเรื้อรังได้ ทั้งยังอาจช่วยให้คุณรู้จักการป้องกันตนเอง คลายความกังวลใจได้ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เราจะทราบได้อย่างไร ว่าเราติดเชื้อโรคซิฟิลิส

ใครบ้างที่ควรไปตรวจโรคซิฟิลิส

  • เมื่อคุณหรือคู่ของคุณแสดงอาการของโรคซิฟิลิส หรือถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน คุณไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่มีซิฟิลิสเพียง เพราะคุณรู้สึกแข็งแรงดีเท่านั้น เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ วิธีเดียวที่จะรู้แน่ชัด คือ การเข้ารับการตรวจ
  • เมื่อคุณมีเพศสัมพันธ์โดบไม่ได้ป้องกัน หรือคู่ของคุณเคยมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นโรคซิฟิลิส (แม้ว่าคุณจะไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม) และยิ่งถ้าหากคุณกำลังตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณรับการทดสอบซิฟิลิสอีกด้วย
  • โดยทั่วไป คนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกสามเดือน เมื่อผ่านการตรวจไปแล้วและไม่พบเชื้อใดๆ คุณก็จะสบายใจ ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคต่างๆ หรือไม่ และถ้าตรวจแล้วพบว่าคุณมีเชื้อโรคซิฟิลิส ก็จะทำให้คุณรู้ตัวว่าเป็นโรค ทำให้การรักษาเพื่อที่จะได้รับยา และกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้เร็วที่สุด

ตรวจโรคซิฟิลิสหลังรับเชื้อมาต้องรอกี่วัน ถึงจะตรวจเจอเชื้อโรคซิฟิลิส

เมื่อเชื้อโรคซิฟิลิสเข้าสู่ร่างกาย จะค่อย ๆ เจริญเติบโตและเพิ่มจำนวน ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะมีการสร้างแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันเพื่อมากำจัดเชื้อเหล่านี้ โดยปริมาณแอนติบอดีจะเริ่มมีเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แต่ยังคงมีปริมาณน้อย หากจะเริ่มตรวจครั้งแรก แนะนำเป็นที่  30 วันขึ้นไปหลังเสี่ยง

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจโรคซิฟิลิส มี 2 รูปแบบ ดังนี้

รูปแบบที่ 1

  • ตรวจครั้งแรกที่ 30 วันขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีความกังวล หากไม่พบเชื้อให้ตรวจครั้งที่สอง
  • ตรวจครั้งที่สองที่ 35 วันขึ้นไป หากไม่พบเชื้อก็สามารถสบายใจได้แล้ว 99 % แต่หากไม่สบายใจ สามารถตรวจอีกครั้งเพื่อรีเช็คผล
  • ตรวจครั้งที่สามที่ 90  วันขึ้นไป เพื่อรีเช็คผล สามารถมั่นใจได้แล้วเกือบ  100%

รูปแบบที่ 2

  • ตรวจครั้งที่สองที่ 35 วันขึ้นไป หากไม่พบเชื้อก็สามารถสบายใจได้แล้ว 99 % แต่หากไม่สบายใจ สามารถตรวจอีกครั้งเพื่อรีเช็คผล
  • ตรวจครั้งที่สามที่ 90  วันขึ้นไป เพื่อรีเช็คผล สามารถมั่นใจได้แล้วเกือบ  100%

การตรวจโรคซิฟิลิส มีกี่วิธี

โดยเราสามารถจำแนกวิธีตรวจซิฟิลิสได้หลักๆ 3 วิธี คือ

การตรวจหาแอนติบอดี แบบไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส (การตรวจคัดกรอง

  • การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยวิธี VDRL (Venereal Disease Research Laboratory test) ใช้ Cardiolipin, Lecithin, Cholesterol Antigen จากเนื้อเยื่อของสัตว์มาทดสอบกับแอนติบอดีของผู้เข้ารับการตรวจ รู้ผลใน 60 นาที
  • การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยวิธี RPR (Rapid Plasma Reagin)ใช้สาร Cardiolipin (โมเลกุลของไขมันที่ซับซ้อนที่พบในสัตว์พืชและแบคทีเรีย) เคลือบบนผงถ่านเล็กๆ มาทดสอบกับแอนติบอดีของผู้เข้ารับการตรวจ  รู้ผลใน 60 นาที
  • Rapid Test  เป็นทางออกให้สำหรับผู้ที่ได้รับความเสี่ยงมา แต่ไม่กล้าไปตรวจที่สถานพยาบาลในทันที เป็นทางออกสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และผู้ที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนให้สังคมได้รับรู้ ว่าตนเองเป็นผู้ที่มีความเสี่ยง สามารถทำการตรวจได้เองที่บ้านง่าย ๆ มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน สามารถรู้ผลตรวจได้ภายใน 15-20 นาที เพื่อเป็นทางเลือกให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย เพราะหากตรวจพบเชื้อโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับการรักษาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
Rapid Test-โรคซิฟิลิส

การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกัน แบบเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส

  • Fluoescent Treponement Antibody Asorption Test หรือ FTA-ABS คือการตรวจโดยนำเซรั่ม (Serum) ซึ่งเป็นส่วนของน้ำเหลืองที่ได้จากการปั่นแยกออกจากเลือดของผู้เข้ารับการตรวจ ไปทำปฏิกิริยากับตัวดูดซับ (Absorbent) ที่ผสมกับเชื้อ Treponema Phagedenis Biotype Rieter และใช้สารเรือง (Fluorescein Isothiocyanate) ช่วยในการอ่านผลปฏิกิริยา หากมีเชื้อซิฟิลิสจะเห็นสารเรืองแสงจับตัวเป็นกลุ่มก้อนที่ตัวเชื้อซิฟิลิส วิธีนี้ต้องอาศัยความชำนาญในการทดสอบและอ่านผลปฏิกิริยา แต่ประสิทธิภาพของผลตรวจมีความแม่นยำมากกว่าวิธีอื่น รู้ผลใน 3 วัน
  • Treponemal Pallidum Hemagglutination test หรือ TPHA คือการตรวจโดยใช้เม็ดเลือดแดงที่เคลือบแอนติเจนของเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม มาทำปฏิกิริยากับเซรัมของผู้ป่วย หากมีเชื้อซิฟิลิสจะสังเกตเห็นเม็ดเลือดเกาะกลุ่มและแผ่เป็นวงกว้าง  รู้ผลใน 60 นาที
  • Treponema Pallidum Particle Agglutination หรือ TP-PA มีลักษณะวิธีการตรวจและการอ่านผลปฏิกิริยาเหมือนกับ TPHA แต่ใช้เม็ดเจลาติน (Gelatin Particle) แทนเม็ดเลือดแดงที่เคลือบแอนติเจนของเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา แพลลิดัม มาทำปฏิกิริยากับเซรัมของผู้ป่วยและหากพบเชื้อซิฟิลิสจะสังเกตเห็นเม็ดเจลาตินเกาะกลุ่มและแผ่เป็นวงกว้างเป็นสีชมพู

การตรวจหาเชื้อจากน้ำที่ไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid Test)

วิธีนี้จะใช้กับผู้ที่คาดว่าจะได้รับเชื้อซิฟิลิสมานานแล้ว และเชื้อลุกลามทำลายถึงระบบประสาท หรือสงสัยว่ามีการติดเชื้อในระบบประสาทระยะที่เป็นแผล จะวินิจฉัยโดยเอาน้ำไขสันหลังมาตรวจด้วยกล้อง Darkfield

โรคซิฟิลิสตรวจได้บ่อยแค่ไหน?

การตรวจซิฟิลิสสามารถตรวจบ่อยได้เท่าที่ต้องการ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะติดโรคซิฟิลิส เช่น

  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือทราบว่าคู่นอนของตนมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรเข้ารับการตรวจแม้จะยังไม่มีอาการ
  • นอกจากนี้ผู้ที่กำลังวางแผนแต่งงานหรือตั้งครรภ์ ก็ควรตรวจซิฟิลิสรวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน 
  • สำหรับคนทั่วไปที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ควรตรวจโรคซิฟิลิสปีละ 1 ครั้ง
  • สำหรับผู้ที่ได้รับความเสี่ยงอยู่เสมอ ควรจะตรวจเช็คโรค ๆ ทุก 3 เดือน

ตรวจโรค และรักษาซิฟิลิสที่ไหนในภูเก็ต

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • ถาม-ตอบ เกี่ยวกับเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์

    คำถาม : ทำไมต้องไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี?

    การทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีของตัวเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองและคู่ของตัวเอง เพราะถ้ารู้ว่าติดเชื้อเอชไอวีเร็วเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดีได้มากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งนี้ยังมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี จำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี อาจจะแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้น หากมีเพศสัมพันธ์ หรือมีความพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ก็ควรไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี

  • โรคไวรัสตับอักเสบบี

    ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบบีนั้น สามารถติดต่อทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง  และการติดต่อจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นทางติดต่อที่พบมากที่สุด 

  • การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีมีความสำคัญอย่างไร?

    เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี และเชื้อเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  โดยจะทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า CD4  ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง หากไม่ได้รับการรรักษา จะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่น ปอดอักเสบ วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น 

    ด้วยปัจจุบันมีการพัฒนายารักษาคนที่ติดเชื้อเอชไอวี สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป  หากผู้ติดเชื้อเอชไอวี เริ่มทานยาต้านไวรัสโดยเร็ว  และทานยาสม่ำเสมอ ตรงเวลา โดยโรคเอดส์นี้เป็นโรคที่เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้  ก่อนที่เราจะไปทราบการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เราต้องควรรู้ไว้ว่าโรคเอดส์ติดต่อได้ทางไหนบ้าง

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย ที่ส่งผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อยในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์แตกต่างกันไปและอาจเกิดอันตรายต่อสตรีตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ได้ โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะได้รับเชื้อในขณะที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ หรืออาจจะได้รับเชื้อในขณะที่ตั้งครรภ์แล้วก็ได้

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันที่มีอาการแสดงมักจะได้รับการรักษา แต่โรคหลายชนิดที่ไม่มีอาการแสดง สามารถแฝงตัวในร่างกายนานเป็นสิบปี โดยไม่มีอาการปรากฏให้เห็น ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงละเลยไม่ใส่ใจ ไม่รักษา หรือดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเหมาะสม ในระยะยาว เชื้อโรคเหล่านี้อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ และทารกที่จะเกิดมา ฉะนั้นสตรีตั้งครรภ์จึงควรได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรักษา การป้องกัน และให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง

  • ทำไมต้องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด?

    การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด คือการวัดระดับความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือด ว่าเพื่อประเมินว่าร่างกายควบคุมน้ำตาลได้ดีหรือไม่ สามารถวินิจฉัยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคเบาหวานได้ อีกทั้งยังสามารถติดตามระดับน้ำตาลในเลือด ใช้ประเมินผลในการรักษาโรคเบาหวานได้

  • โรคแผลริมอ่อน

    แผลริมอ่อน (Chancroid) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง  ทำให้เกิดเป็นแผลบริเวณอวัยวะเพศร่วมกับอาการเจ็บหรือปวด และต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโต พบได้บ่อยในประเทศแถบอากาศร้อน แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย