ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นกลไกการทำงานของร่างกายระบบหนึ่ง ที่เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่ทำหน้าที่ป้องกัน หรือต่อต้านไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือเกิดการติดเชื้อจากเชื้อโรคเหล่านั้น หรือคอยช่วยเหลือไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยจากสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยสิ่งแปลกปลอมทั้งภายนอก ได้แก่ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือสารพิษจากจุลินทรีย์ หรือจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น เนื้องอก หรือเซลล์มะเร็ง ระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เมื่อผ่านการติดเชื้อใดๆ มาจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อนั้น ๆ มากขึ้น จากการจดจำเชื้อโรคได้จึงช่วยให้ป้องกันเชื้อโรคเหล่านั้นได้ดีขึ้นนั่นเอง
ฉะนั้นระบบภูมิคุ้มกันมีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และฟื้นตัวได้เร็วหากได้รับเชื้อก่อโรค ดังนั้นเราจึงควรดูแลระบบภูมิคุ้มกันของเราให้ทำงานอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ ด้วยการตรวจเช็คร่างกาย และมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ และหากมีความผิดปกติต่อร่างกายซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเกิดการติดเชื้อก็ควรรีบไปพบแพทย์ หรือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค ให้กับร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้ทุกช่วงวัย ด้วยการฉีดวัคซีนพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดต่อที่ร้ายแรง โดยเฉพาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากการฉีดวัคซีนนั้นจะช่วยลดการแพร่ระบาด และลดผลกระทบที่ร้ายแรงของโรคต่อผู้ป่วย

วัคซีน คืออะไร?
วัคซีน (Vaccine) เป็นสารชีววัตถุ (biological preparation) ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อจุลชีพ หรือสารชีวพิษของเชื้อจุลชีพ (toxin) ที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือแอนติบอดี เพื่อต่อต้านการติดเชื้อเมื่อมีเชื้อจุลชีพเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้นผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกกระตุ้นเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ หรือหากเกิดความเจ็บป่วยขึ้น อาการของโรคก็จะรุนแรงน้อย เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันแล้ว ซึ่งอาจให้เวลานานนับสัปดาห์หรือนับเดือนกว่าจะมีภูมิป้องกันโรคได้
การสร้างภูมิคุ้มกันโรคอาจทำได้อีกวิธีหนึ่ง โดยการให้ภูมิต้านทานสำเร็จ หรือที่แพทย์เรียกว่า อิมมูโนโกลบูลิน เข้าไปในร่างกายและสามารถต่อต้านเชื้อโรคได้ทันที ซึ่งวัคซีนไม่ได้หมายความถึงแต่การให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็กเท่านั้น แต่ในบางประเภทของวัคซีนมีความมุ่งหมายให้ใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ใหญ่ด้วย ได้แก่ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ นิวโมคอคคัส และวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เป็นต้น
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน
คือ การทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น แบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ได้แก่
- การให้ภูมิคุ้มกันจากคน หรือ สัตว์ที่สร้างมาก่อนแล้ว (passive immunization) โดยเรียกสารที่ให้นี้ว่า เซรุ่ม หรือ ซีรั่ม (serum) มักจะใช้ในกรณีที่ได้รับหรือสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมมาแล้ว ตัวอย่างของเซรุ่ม ได้แก่ เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มแก้พิษสุนัขบ้า เป็นต้น
- การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง (active immunization) โดยเรียกสารที่ให้ว่า วัคซีน (vaccine) มักจะใช้ในกรณีป้องกันก่อนสัมผัสสิ่งแปลกปลอม ตัวอย่างของวัคซีน ได้แก่ วัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันแบบ active ได้แก่ การให้วัคซีน ซึ่งวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทย อาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้- กลุ่มที่ 1 ท็อกซอยด์ (toxoid) เป็นวัคซีนที่ได้จากการนำเชื้อโรคมาทำลายความเป็นพิษให้หมดไป แต่ยังมีคุณสมบัติในการนำมากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ใช้ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากพิษ หรือท็อกซินของแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากตัวแบคทีเรียโดยตรง เช่น โรคคอตีบ หรือโรคบาดทะยัก ทำได้โดยทำให้พิษของแบคทีเรียหมดไป แต่ความสามารถให้การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันยังมีอยู่ เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก
โดยทั่วไปเมื่อฉีดพวกนี้เข้าไปจะไม่มีไข้ หรือปฏิกิริยาเฉพาะที่ นอกจากเคยฉีดมาแล้วหลายครั้ง หรือร่างกายมีภูมิคุ้มกันสูงอยู่ก่อนแล้ว ในกรณีเช่นนี้อาจเกิดปฏิกิริยาอิมมูนบริเวณที่ฉีด ทำให้มีอาการบวมแดง เจ็บบริเวณที่ฉีด และมีไข้ได้
- กลุ่มที่ 2 วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิต (inactivated หรือ killed vaccine) เป็นวัคซีนที่ได้จากการนำเชื้อโรคมาทำให้ตาย อาจใช้เชื้อทั้งตัวหรือสกัดเอาบางส่วนของเชื้อมาทำวัคซีน ทำจากแบคทีเรีย หรือไวรัสทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว (whole cell vaccine) พวกที่ทำจากเชื้อแบคทีเรียมักเกิดจากปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีด บางครั้งอาจมีไข้ด้วย อาการมักจะเริ่มเกิดหลังฉีด 3 – 4 ชั่วโมง และจะมีอยู่ประมาณ 1 วัน บางครั้งอาจมีปฏิกิริยาอยู่นานถึง 3 วัน ตัวอย่างของวัคซีนในกลุ่มนี้ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไอกรน วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดเอ วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ วัคซีนพวกนี้มักจะต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ห้ามเก็บในตู้แช่แข็ง เพราะจะทำให้แอนติเจนเสื่อมคุณภาพ
ใช้เฉพาะส่วนของแบคทีเรีย หรือไวรัสที่เกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันเท่านั้นมาทำเป็นวัคซีน (subunit vaccine) เช่น วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี วัคซีนป้องกัน โรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันเชื้อฮิบ (Haemophilus influenzae type b) วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ (acellular pertussis vaccine) วัคซีนป้องกัน ไทฟอยด์ชนิดวีไอ (Vi vaccine)
- กลุ่มที่ 3 วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต (live attenuated vaccine) เป็นวัคซีนที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนเชื้อโรค แล้วนำเชื้อโรคมาทำให้อ่อนแรงลง จนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ยังมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนสำหรับไวรัส ส่วนวัคซีนสำหรับแบคทีเรียที่ใช้แพร่หลาย ได้แก่ วัคซีนป้องกันวัณโรค (บีซีจี) วัคซีนป้องก้นโรคไข้ไทฟอยด์ชนิดกิน
ส่วนวัคซีนสำหรับไวรัสที่ใช้ในประเทศไทย คือ วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคสุกใส วัคซีนในกลุ่มนี้เมื่อให้เข้าไปในร่างกายแล้ว จะยังไม่มีปฏกิริยาทันที จะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเริ่มมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด จะมีอาการไข้ประมาณ วันที่ 5 ถึงวันที่ 12 หลังฉีด วัคซีนในกลุ่มนี้จะต้องเก็บไว้ให้ดีเป็นพิเศษ เพราะถ้าเชื้อตายการให้วัคซีนจะไม่ได้ผล
- กลุ่มที่ 1 ท็อกซอยด์ (toxoid) เป็นวัคซีนที่ได้จากการนำเชื้อโรคมาทำลายความเป็นพิษให้หมดไป แต่ยังมีคุณสมบัติในการนำมากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ใช้ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากพิษ หรือท็อกซินของแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากตัวแบคทีเรียโดยตรง เช่น โรคคอตีบ หรือโรคบาดทะยัก ทำได้โดยทำให้พิษของแบคทีเรียหมดไป แต่ความสามารถให้การกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันยังมีอยู่ เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก
- นอกจากนี้ ถ้าร่างกายมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง เช่น ได้รับอิมมูโนโกลบุลิน หรือเดิมที่เรียกกันว่า แกมมาโกลบุลิน อาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของวัคซีน การให้วัคซีนในกลุ่มนี้จะต้องระวัง ถ้าให้ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ หรือผู้ที่ได้รับยา หรือสารกดภูมิคุ้มกันอยู่ อาจมีอันตรายได้

ประเภทของวัคซีน
การแยกประเภทของวัคซีนอีกวิธีหนึ่ง โดยการใช้แผนสร้างเสริมสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทคือ
- วัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนบังคับ (Compulsory Vaccine) (EPI) ได้แก่ วัคซีนที่บรรจุลงในแผนสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ
- วัคซีนเผื่อเลือก (Optional Vaccine) คือ วัคซีนที่อาจมีประโยชน์แต่ยังไม่มีความแน่ชัดในเรื่องของความสำคัญของวัคซีนในเด็กไทย ประกอบกับวัคซีนมีราคาสูงทำให้รัฐบาลยังไม่มีความแน่ใจในเรื่องความคุ้มทุน จึงไม่ได้จัดเข้าอยู่ในแผนสาธารณสุขของประเทศ ถ้าต้องการฉีดจะต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง
- วัคซีนสำหรับใช้ในกรณีพิเศษ (Special Vaccine) คือวัคซีนที่มีความชัดเจนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือหากเป็นโรคแล้วอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หรือใช้ในผู้ที่จะเดินทางไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค
- วัคซีนที่อยู่ในการวิจัย และพัฒนา หมายถึง วัคซีนที่มีความสำคัญต่อการป้องกันโรคแต่อยู่ระหว่างการพัฒนา หรือการทดลองกับอาสาสมัคร เช่น วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก มาลาเรีย เอดส์ เป็นต้น
วิธีการให้วัคซีน
- การรับประทาน เป็นวิธีการให้วัคซีนที่ง่ายที่สุด แต่มีวัคซีนเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถให้ด้วยวิธีนี้ได้ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ได้ด้วย เช่น วัคซีนโปลิโอ วัคซีนไทฟอยด์
- การพ่นเข้าทางจมูก ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในทางเดินหายใจด้วย เช่นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่น
- การฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง เป็นการให้วัคซีนที่ใช้ปริมาณน้อย การฉีดทำได้ยาก ต้องมีความชำนาญในการฉีด แต่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันได้ดี เช่น วัคซีนบีซีจี วัคซีนพิษสุนัขบ้า
- การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ใช้สำหรับวัคซีนที่ไม่มี adjuvant (เป็นสารประกอบ หรือ โมเลกุล ที่ช่วยให้แอนติเจนในวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น)
- การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้สำหรับวัคซีนที่มี adjuvant วัคซีนแต่ละชนิดได้รับการออกแบบมาโดยมีวิธีการให้ที่เหมาะสม การให้วัคซีนจึงต้องทำโดยผู้ชำนาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของวัคซีน
ข้อควรระวังในการฉีดวัคซีนหลายชนิดพร้อมกัน
- วัคซีนที่มีผลข้างเคียงเดียวกัน และเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น ไข้ ไม่ควรให้ในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้ไข้สูงขึ้น
- วัคซีนแต่ละเข็มควรให้คนละตำแหน่งกัน และไม่ควรนำวัคซีนต่างชนิดกันมาผสมฉีดครั้งเดียว ยกเว้นเป็นวัคซีนที่มีข้อมูลมาก่อนว่าได้ผลดี
- วัคซีนชนิดเชื้อเป็น สามารถให้หลายชนิดพร้อมกัน แต่ถ้าให้ห่างกันควรห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน เช่น หัด คางทูม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส และไข้สมองอักเสบชนิดเชื้อเป็น ส่วนวัคซีนชนิดเชื้อตายจะห่างกันเท่าใดก็ได้
ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ที่ภูเก็ตได้ที่ไหน?
ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ
ช่องทางการติดต่อ
สาขาลากูน่า
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me
สาขาในเมือง
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8 ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 288 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmctown.youcanbook.me
สาขาหอนาฬิกา
- ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาหอนาฬิกา 206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
- เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
- สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
- เบอร์โทรติดต่อ 096 696 2449
- แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
- จองคิวตรวจออนไลน์ https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me