วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

เด็กทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน เพราะเด็กเป็นวัยที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนมากกว่าวัยผู้ใหญ่ จึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ โดยวัคซีนที่ต้องได้รับตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์ คือ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก ซึ่งเป็นโรคที่พบได้มากในเด็กเล็ก และหากไม่ได้รับวัคซีนอาจเกิดผลแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิตได้   ซึ่งหลังจากรับวัคซีนในวัยเด็กจนครบแล้ว  การรับวัคซีนเพิ่มเติมเมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็มีความจำเป็นและสำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

Table of Contents

โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก คืออะไร?

  • โรคคอตีบ (Diphtheria) เป็นโรคติดต่อจากเชื้อแบคทีเรีย มักแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อ 2-5 วัน ส่งผลรุนแรงต่อลำคอและเยื่อบุจมูก ต่อมน้ำเหลืองในคอบวม มีไข้สูง ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย และหายใจหอบ เหนื่อย ถ้ามีอาการอักเสบของกล่องเสียง จะมีอาการไอ เสียงแหบ บางรายหากอาการรุนแรงอาจมีอาการหายใจลำบากและเสียชีวิต ติดต่อกันได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่ง หรือละอองฝอยที่อยู่ในน้ำลาย เสมหะ น้ำมูก หรือพาหะของผู้ป่วยโรคคอตีบ
  • โรคบาดทะยัก (Tetanus) เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ชื่อว่าบาดทะยัก ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงและก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดต่อผู้ป่วย ที่ส่งผลต่อระบบประสาททำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามและคอมีอาการกระตุก เมื่อสารพิษเข้าสู่ระบบประสาทจะใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัวจากการติดเชื้อบาดทะยัก ซึ่งอาการโรคบาดทะยัก ได้แก่ เริ่มแรกจะมีอาการปวดและเกร็งกล้ามเนื้อเป็นระยะ ภาวะกรามติด กล้ามเนื้อคอแข็ง ปัญหาการกลืน กล้ามเนื้อท้องแข็ง การเกร็งของกล้ามเนื้อในร่างกายที่สร้างความเจ็บปวดและกินเวลาหลายนาที โดยเฉพาะการเกร็งของกล้ามเนื้อช่วยหายใจ จะทำให้หายใจลำบากและสียชีวิตได้ การกระตุกของกล้ามเนื้อจะถูกกระตุ้นด้วยการกระตุก เสียงดัง การสัมผัส หรือแสงจ้า เหงื่อออก ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว  และหากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะภาวะปอดติดเชื้อรุนแรง
  • โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจจากแบคทีเรีย ที่เรียกว่า เชื้อไอกรน  อาการช่วงแรกคล้ายไข้หวัด มีไข้ต่ำ ๆ จาม มีน้ำมูก จากนั้นจะพบอาการไออย่างรุนแรงต่อเนื่อง จนผู้ป่วยรู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก อาจพบหลอดเลือดดำที่คอโป่งพองจนมองเห็นได้ชัด หรือมีเส้นเลือดในตาขาวแตกหรือปัสสาวะเล็ดได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนหรือได้รับไม่ครบตามกำหนด อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิตได้

การรักษาโรคที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก ทํามาจากเชื้อและพิษของเชื้อที่ผ่านกระบวนการทําให้หมดความสามารถในการเกิดโรคและไม่มีเชื้อโรคที่มีชีวิตผสมอยู่ จึงมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรค หากได้รับครบถ้วนตามกําหนด วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

ทั้งนี้ หากไม่ได้รับวัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก อาจเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคอันตราย หรือมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิต ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยการป้องกันโรคด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนตั้งแต่เด็ก และรับวัคซีนเพื่อกระตุ้นซ้ำเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก คืออะไร?

วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน เป็นวัคซีนเชื้อตาย ที่ประกอบไปด้วยแอนติเจนของเชื้อไอกรน และ ท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในประเทศไทยมีวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน อยู่ด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆ ซึ่งมีส่วนประกอบ สูตร และส่วนผสมที่แตกต่างกันสำหรับใช้ในกลุ่มอายุต่างๆ:

  1. วัคซีน DTaP หรือ DTwP วัคซีนนี้ใช้สำหรับทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ของชื่อย่อวัคซีนนี้บ่งบอกว่าปริมาณแอนติเจนของเชื้อไอกรน และท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในวัคซีนนั้นมีปริมาณสูง
  2. วัคซีน Tdap วัคซีนนี้ใช้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ ตัวอักษรพิมพ์เล็กภาษาอังกฤษ “d” และ “p” บ่งบอกถึงการลดปริมาณท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและแอนติเจนของเชื้อไอกรนในวัคซีน เพื่อลดอาการข้างเคียงของวัคซีนที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับตัวอักษร “a” ในวัคซีน DTaP และ Tdap หมายถึง “ไร้เซลล์ (Acellular)” คือ การนำเฉพาะบางส่วนของเชื้อไอกรนมาผลิตวัคซีน แทนการใช้เชื้อทั้งไอกรนทั้งเซลล์ (Whole cell) ซึ่งช่วยลดการเกิดอาการข้างเคียงได้

นอกจากนี้ยังมีวัคซีน Td ซึ่งสามารถให้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ วัคซีนนี้ป้องกันเฉพาะโรคคอตีบ และบาดทะยักเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ช้ในการป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน แบ่งเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักชนิดเดียว (TT)

ในอดีตใช้ในผู้ใหญ่ที่มีบาดแผล ปัจจุบันแนะนำให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ และบาดทะยัก (dT) แทน เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันทั้ง 2 โรค

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก (dT)

ใช้ในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่มีบาดแผล รวมไปถึงในหญิงตั้งครรภ์ เป็นวัคซีนที่จำเป็นต้องฉีดในเด็กทุกคนตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ชุดแรก 3 ครั้ง มีระยะห่าง 0, 1 และ 6 เดือน หลังจากนั้นให้ฉีดกระตุ้นซ้ำทุก 10 ปี นอกจากนี้ผู้ที่มีบาดแผลสกปรกที่อาจปนเปื้อนเชื้อบาดทะยัก รวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก-คอตีบเช่นกัน ยกเว้นว่าเคยได้รับครบถ้วนมาก่อนแล้ว

วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ (aP)

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ พื่อส่งภูมิต้นทานไปสู่ทารกแรกเกิดหรือผู้ที่ต้องการกระตุ้นภูมิต่อไอกรนอย่างเดียว

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ (DTWP)

เด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นขาด้านหน้าทั้งสิ้น 5 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ ครั้งที่ 5 เมื่ออายุประมาณ 4 -6 ปี นอกจากนี้ยังมีวัคซีนชนิดรวมกับวัคซีนป้องกันตับอักเสบบี โปลิโอ และฮิบในเข็มเดียวกัน อย่างไรก็ตามวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดทั้งเซลล์ ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 7 ปีและผู้ใหญ่ แต่ควรแทนด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (ไม่มีไอกรน)

โดยขณนี้ในประทศไทย มีวัคซีนขนิดนี้รวมกับว้คนป้องกันรคตับอักเสบบี และยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบด้วย (DTwP-HB-Hib) สำหรับเด็กอายุ 2,4,6 เดือน

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะบัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์ (DTaP)

วัคซีนรวมโรคสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 7 ปี โดยใช้ในกรณีที่หากใช้วัคซีนไอกรนชนิดทั้งเซลล์แล้วเกิดไข้สูง ชัก หรือกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งมีแบบรวมกับวัคซีนป้องกัน โรคตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบด้วย (DTaP-HB-Hib) เช่นกัน ทําจากพิษของเชื้อคอตีบและบาดทะยักที่ผ่านขั้นตอนทําให้ไม่ก่อโรคในคน มีส่วนประกอบบางส่วนของเชื้อไอกรนที่แยกบริสุทธิ์ โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 5 ครั้ง ตามอายุเช่นเดียวกับชนิดทั้งเซลล์ อีกทั้งยังสามารถใช้ทดแทนกันได้ทุกครั้ง อย่างไรก็ตามผู้ที่เคยได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนชนิดทั้งเซลล์ เช่น มีไข้สูง ชัก ควรพิจารณาใช้วัคซีนชนิดไร้เซลล์ในการฉีดครั้งต่อไป เนื่องจากวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดไร้เซลล์มีผลข้างเคียงต่ำกว่า

วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์สำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ (Tdap หรือ TdaP)

สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ แนะนำให้ในอายุ 11-12 ปี และสามารถให้ทุก 10 ปื หลังจากเด็กๆ ได้รับวัคซีนครบ 5 เข็ม เมื่ออายุครบ 10 ปี ภูมิคุ้มกันจะเริ่มลดน้อยลง จึงควรฉีดกระตุ้นอีกครั้งตั้งแต่อายุ 10-18 ปี ซึ่งในอดีตวัคซีนที่ใช้ฉีดกระตุ้นมีเพียงวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (ไม่มีไอกรน) เนื่องจากวัคซีนที่มีไอกรนที่ใช้ในเด็กเล็ก อาจส่งผลกระทบต่อเด็กโตและผู้ใหญ่ได้มาก จึงมีการนําวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักชนิดไร้เซลล์ชนิดสูตรสําหรับเด็กโตและผู้ใหญ่มาใช้ทดแทน โดยดัดแปลงวัคซีนไอกรนให้มีความบริสุทธิ์และมีปริมาณเชื้อไอกรนลดลง นอกจากนี้ยังสามารถให้พร้อมกับวัคซีนอื่นๆ ได้ในวันเดียวกัน แต่ต้องแยกเข็มฉีด

ใครบ้างควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

ในประเทศไทย วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ถือเป็นวัคซีนจำเป็นที่ต้องให้กับเด็กทุกคน โดย 4 เข็มแรกแพทย์จะพิจารณาให้เป็นวัคซีน DTaP หรือ DTwP กับทารกและเด็กเล็กที่มีอายุ 2, 4, 6 และ 18 เดือน จากนั้นในช่วงอายุ 4-6 ปี แพทย์จะพิจารณาให้วัคซีน DTaP, DTwP หรือ Tdap 1 เข็ม สุดท้ายคือในช่วงอายุ 11-12 ปี แพทย์จะพิจารณาให้วัคซีน Tdap หรือ Td 1 เข็ม

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนนี้ไม่ได้ยาวนานตลอดชีวิต มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน นั้นลดลงทุกปีหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 5 ดังนั้น เราทุกคนจึงควรฉีดวัคซีน Tdap หรือ Td เป็นเข็มกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ยังสูงอยู่เสมอ
คำแนะนำในการรับวัคซีน Tdap เป็นเข็มกระตุ้น ได้แก่

  • ผู้ที่มีอายุ 11-18 ปี: ควรได้รับวัคซีน Tdap 1 เข็ม โดยแนะนำให้ฉีดในช่วงอายุ 11-12 ปี (เด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน DTaP ให้ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 7 ปี) สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ฉีด DTaP ไม่ครบทุกเข็มตอนอายุ 7 ปีควรฉีดวัคซีนที่มีส่วนผสมของ Td (วัคซีนรวมบาดทะยัก คอตีบ) และ Tdap ให้ครบทุกเข็ม
  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 19 – 64 ปี : ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน มาก่อน หรือผู้ที่มีโอกาสใกล้ชิดกับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 12 เดือน ควรได้รับวัคซีน Tdap 1 เข็ม หลังจากนั้นฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน (Tdap) หรือ วัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ (Td) ทุก 10 ปี
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อาจฉีด Tdap กระตุ้นเพียง 1 เข็ม
  • ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ควรฉีดวัคซีนที่มีส่วนประกอบของคอตีบและบาดทะยัก อย่างน้อย 3 เข็ม โดย
    • เข็มที่ 1 เริ่มได้เลย
    • เข็มที่ 2 ห่างจากเข็ม 1 อย่างน้อย 1 เดือน
    • เข็มที่ 3 ห่างจากเข็ม 2 อย่างน้อย 6 เดือน
  • หญิงตั้งครรภ์: หญิงตั้งครรภ์ทุกรายควรได้รับวัคซีน Tdap 1 เข็ม ในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ แต่หากมีความจำเป็น หญิงตั้งครรภ์สามารถรับวัคซีนนี้ได้ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ ซึ่งการฉีดวัคซีน Tdap ให้มารดา จะช่วยให้เกิดการส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปสู่ทารกก่อนคลอดได้

ทั้งนี้แนะนำให้ฉีดเข็มแรกเป็นวัคซีนโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Tdap) เข็มที่ 2 และ เข็มที่ 3 อาจฉีดเป็น คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Tdap) หรือ คอตีบและบาดทะยัก (Td) ก็ได้

หลังจากได้รับวัคซีน Tdap 1 เข็ม เป็นเข็มกระตุ้นแล้ว เราทุกคนควรได้รับวัคซีน Tdap หรือ Td 1 เข็ม ทุกๆ 10 ปี หรือ 5 ปี ในกรณีที่บาดแผลนั้นมีความรุนแรง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบาดทะยัก โดยวัคซีน Tdap นั้นสามารถฉีดได้ในทุกช่วงเวลาของปี อีกทั้งยังฉีดพร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ด้วย

ใครบ้างไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

  • ผู้ที่เคยมีอาการแพ้อย่างรุนแรง
  • ผู้ที่เคยมีความผิดปกติทางสมอง เช่น โคม่า ระดับความรู้สึกตัวลดลง ชักเป็นเวลานาน โดยไม่ทราบสาเหตุ ภายใน 7 วัน หลังได้รับวัคซีนเข็มก่อน
  • ผู้ที่มีไข้ หรือป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยจึงค่อยมารับวัคซีน
  • กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย แต่ไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

เนื่องจากวัคซีนผลิตจากเชื้อที่นำมาผ่านกระบวนการ มีความปลอดภัยสูง แต่บางกรณีอาจส่งผลกระทบข้างเคียงขึ้นได้ เช่น ปวด แดง หรือบวมบริเวณแขนข้างที่ฉีด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ อาการมักไม่รุนแรง สามารถหายเองภายใน 2-3 วัน การดูแลอาการข้างเคียง เช่น ใช้ผ้าเย็นประคบหากเกิดอาการปวด บวมบริเวณที่ฉีด รวมถึงรับประทานยาลดไข้ในขนาดที่เหมาะสม  วัคซีนนี้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ หรืออาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่นเดียวกับยาหรือวัคซีนชนิดอื่นๆ หากพบว่ามีภาวะข้างเคียงที่รุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที

ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยักที่ภูเก็ตได้ที่ไหน?

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค

    วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค (Cholera Vaccine)  ได้รับการพัฒนามานานแล้ว แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคยังไม่ยืนยาว กล่าวคือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้อยละประมาณ 85 (85%) ในช่วง 6 เดือนแรก และลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 50 (50%) หลังการรับวัคซีนไปแล้ว 2 ปี เพราะวัคซีนป้องกันได้นาน 2 ปี

    ปัจจุบัน มีวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค 2 ชนิด คือ ชนิดรับประทาน, และชนิดฉีดแต่ความนิยมการใช้วัคซีนชนิดฉีดลดลง เนื่องจากประสิทธิภาพด้อยกว่าชนิดรับประทาน  โดยต้องรับประทานวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 1-6 สัปดาห์ และสำหรับ เด็กอายุ 2 – 6 ปี ควรได้รับ 3 ครั้ง โดยระยะห่าง 1 – 6 สัปดาห์เช่นกัน

  • ทำไมเราต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรค

    วัคซีน คืออะไร ?

    วัคซีนมี (Vaccine)  คือ เป็นสารชีววัตถุ (biological preparation) ที่ผลิตขึ้นจากเชื้อจุลชีพ หรือสารชีวพิษของเชื้อจุลชีพ (toxin) หรือการให้ เชื้อหรือส่วนหนึ่งของเชื้อเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันโรค หรือแอนติบอดี เพื่อต่อต้านการติดเชื้อ เมื่อมีเชื้อจุลชีพเข้าสู่ร่างกายได้ซึ่งอาจให้เวลานานนับสัปดาห์ หรือนับเดือนกว่าจะมีภูมิป้องกันโรคได้

  • วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

    ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B หรือ HBV) คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำให้เกิดปฎิกิริยาต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีการอักเสบของเซลล์ตับ และทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย

    วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การฉีดวัคซีนนี้ช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อต้านไวรัสได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคตับอักเสบบีเมื่อติดเชื้อ

  • ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด คืออะไร?

    ระบบภูมิคุ้มกันแต่กำเนิด (Innate immune system) เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับระบบภูมิคุ้มกันประเภทนี้ ถูกถ่ายทอดจากพันธุกรรม คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อป้องกันและสกัดเชื้อโรค ซึ่งเป็นกลไกที่ไม่จำเพาะเจาะจงกับเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ผิวหนัง เยื่อบุ เยื่อเมือกต่าง ๆ ช่วยขัดขวางไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย หรือ กรดในกระเพาะอาหาร น้ำตา เหงื่อ ช่วยทำลายเชื้อโรคก่อนเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงเซลล์เพชฌฆาต (Natural Killer Cells; NK Cells) ที่พร้อมต่อสู้กับเนื้องอก เซลล์มะเร็ง หรือการติดเชื้อไวรัสอย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดการติดเชื้อ  เพื่อทำให้ร่างกายเราปลอดภัยจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ซึ่งถือเป็นการป้องกันเชื้อโรคชั้นแรกของร่างกาย โดนภูมิคุ้มกันเเบบนี้มีมาตั้งเเต่เกิด โดยทารกที่มีอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ จะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เอง เเต่ยังสร้างได้น้อยมาก เนื่องจากเริ่มมีการเจริญของอวัยวะน้ำเหลือง

  • วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

    วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue vaccine) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (live, attenuated) ผลิตโดยใช้เทคโนโลยี recombinant DNA นำส่วน Pre-Membrane (prM) และ envelope gene ของไวรัสเดงกี่ ทั้ง 4 สายพันธุ์ มาใส่ในไวรัส Yellow fever สายพันธุ์ 17D จากนั้นนำไปเพาะเลี้ยงใน Vero cell เพื่อให้ได้วัคซีน Chimeric Yellow fever Dengue Tetravalent Dengue Vaccine (CYD-TDV) ซึ่งวัคซีนนี้จะออกฤทธิ์ โดยเชื้อไวรัสที่อ่อนฤทธิ์ไปแบ่งตัว และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ คือ ใช้ป้องกันโรคไข้เลือดออกที่มีสาเหตุจากไวรัสเดงกี่ ทั้ง 4 สายพันธุ์ 

  • วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

    วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (COVID-19 vaccine) จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา ช่วยป้องกันการติดเชื้อหากได้รับเชื้อในอนาคต แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหลังฉีดวัคซีนร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ การฉีดวัคซีนผู้รับวัคซีนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างทางสังคม เป็นต้น

    วัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันทุกคนที่ฉีดจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ แต่พบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ และยังไม่มีข้อมูลว่าเมื่อฉีดแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้นานเท่าไร รวมถึงไม่มีข้อมูลว่าผลการฉีดวัคซีนให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันนั้น ทำให้ภูมิต่อไวรัสโควิด-19 มีผลลดลงกว่าในคนปกติหรือไม่