วัคซีนป้องกันวัณโรค

วัณโรค (Tuberculosis หรือ TB) เป็นโรคติดเชื้อชนิดรุนแรง ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่าไมโครแบคทีเรี่ยม ทิวเบอรคูโลซิส (Mycobacleriumtuberculosis)  โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงหากได้รับเชื้อโรคร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาควบคุมเชื้อวัณโรคได้เอง แต่สำหรับเด็กเล็กซึ่งมีภูมิคุ้มกันยังไม่มากเท่ากับผู้ใหญ่ หรือขณะที่ได้รับเชื้อมีร่างกายอ่อนแอ หรือมีโรคประจำตัวก็จะทำให้ป่วยเป็นวัณโรคได้ง่าย ซึ่งอาการที่แสดงออกนั้นก็จะต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งมักมีอาการทางปอดชัดเจนกว่าเด็ก เช่น ไอเป็นเลือด หรือบางรายมีอาการไอเรื้อรัง ขณะที่เด็กที่ป่วยเป็นวัณโรคจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร โดยอาการทางปอดอาจไม่เด่นชัดนัก บางรายคุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตเห็นว่าลูกมีก้อนที่คอจากต่อมน้ำเหลืองที่โตขึ้น หรือท้องใหญ่ขึ้นจากการที่มีตับหรือม้ามโต

ด้านการแพร่กระจายโรควัณโรคสามารถแพร่กระจายผ่านทางฝอยละอองในอากาศ เมื่อผู้ป่วยที่มีเชื้อวัณโรค ไอ จาม หรือแม้แต่การหายใจรดกันก็ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ โดยเมื่อลูกน้อยหายใจรับเชื้อชนิดนี้เข้าไป แบคทีเรียก็จะไปอาศัยอยู่ที่ปอด และค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เข้าสู่กระแสเลือด และอวัยวะอื่นๆ เช่น สมอง ไต ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อกระดูก ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มปอด ช่องท้อง ระบบประสาท  ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วในเด็กเล็กนั้นสามารถติดเชื้อนี้ได้จากคนใกล้ชิดหรือสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาการอาจรุนแรงขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 

วัณโรคแม้จะเป็นโรคที่อันตราย แต่ก็สามารถป้องกันได้ โดยวิธีการป้องกันในขั้นพื้นฐานคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ป่วยวัณโรคเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องอยู่ใกล้ผู้ป่วย ควรป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้ วัณโรคยังสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีควัคซีนป้องกันวัณโรค หรือวัคซีนบีซีจี (BCG)

วัคซีนป้องกันวัณโรค

วัคซีนป้องกันวัณโรค คืออะไร?

วัคซีนป้องกันวัณโรค หรือวัคซีนบีซีจี (Bacillus Calmette-Guérin: BCG) ภายในวัคซีนป้องกันวัณโรคจะประกอบไปด้วยเชื้อวัณโรคที่ถูกทำให้เชื้ออ่อนแรงลงในปริมาณเพียงเล็กน้อย กลไกการทำงานของวัคซีนคือเชื้อที่ฤทธิ์อ่อนลงจะเข้าไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สามารถรับมือกับเชื้อวัณโรคได้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ป้องการการเกิดโรควัณโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อทีบี หากร่างกายได้รับเชื้อดังกล่าว จะถูกทำลายเป็นอันดับแรกเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แต่ก็ยังหลงเหลือส่วนที่หลบซ่อน ไม่ก่อภาวะอันตรายอันจะนำไปสู่การเกิดโรควัณโรคชัดเจน แต่หากร่างกายอ่อนแอเมื่อไหร่ เชื้อโรคที่ซ่อนอยู่จะออกมาโจมตีร่างกายทันที

วัคซีนป้องกันวัณโรค เป็นวัคซีนพื้นฐานที่ฉีดให้เด็กแรกเกิดทุกคน โดยเมื่อฉีดแล้วภูมิคุ้มกันจะเกิดหลังจากฉีดไปแล้วภายใน 4-6 สัปดาห์ และสามารถอยู่ได้นาน 10 ปี สามารถป้องกันวัณโรคได้ประมาณ 80% และยังลดความเสี่ยงโรควัณโรคที่เยื่อหุ้มสมองในเด็กได้ แต่วัคซีนไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ได้ หากเคยฉีดวัคซีนบีซีจีมาแล้วก็ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้

ส่วนในการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคในผู้ใหญ่จะฉีดให้

  • ผู้ที่มีอายุต่ำว่า 35 ปีที่ทำงานในสถานพยาบาล ห้องปฏิบัติการที่ต้องทำงานกับเชื้อโรค 
  • ผู้ที่ต้องทำหน้าที่ในการดูแลผู้สูงอายุ 
  • ผู้ที่ต้องทำงานในพื้นที่ที่แออัด เช่น เรือนจำ เนื่องจากไม่มีการพบว่าวัคซีนจะได้ผลหรือไม่กับกลุ่มคนที่อายุมากกว่า 35 ปี 

ส่วนกลุ่มคนที่ไม่สามารถรับวัคซีนป้องกันวัณโรค ได้แก่

  • ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนบีซีจีมาก่อน
  • ผู้ที่เคยมีประวัติการติดเชื้อวัณโรค
  • ผู้ที่มีผลการตรวจทางผิวหนังที่ค่อนข้างรุนแรง
  • ผู้ที่มีการตรวจพบว่ามีอาการแพ้ส่วนประกอบวัคซีนบีซีจีอย่างรุนแรง
  • เด็กแรกเกิดที่อาศัยอยู่กับผู้ที่มีการติดเชื้อวัณโรค
  • ผู้ที่มีระดับภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่รับประทานยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยโรคเอดส์และโรคมะเร็ง

วิธีฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค

วิธีการฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค หรือวัคซีนบีซีจี ทำได้โดยฉีดเข้าผิวหนัง (Intradermal injection) ปริมาณของวัคซีนนี้ที่ควรจะได้รับ ขึ้นกับชนิดของวัคซีนบีซีจี รวมถึงอายุของผู้ได้รับวัคซีน  ก่อนการบริหาร/ฉีดวัคซีนนี้ จำเป็นต้องเขย่าขวดบรรจุวัคซีนก่อนทุกครั้ง เพื่อให้วัคซีนนี้ผสมเป็นเนื้อเดียวกันทั้งขวด

ตำแหน่งสำหรับฉีดวัคซีนบีซีจีที่แนะนำ คือ บริเวณต้นแขน, ไหล่ด้านซ้าย, ด้านขวา หรือ ที่สะโพก แล้วแต่ข้อกำหนดของแต่ละโรงพยาบาล  แต่ไม่ควรฉีดบริเวณต้นขาของทารก เพราะบริเวณดังกล่าวมีโอกาสเกิดการเสียดสีได้มาก เช่น เสียดสีจากผ้าอ้อม  หรือขาเสียดสีกัน จึงทำให้การดูแลรักษาแผลหลังฉีดวัคซีนนี้ในบริเวณนั้นทำได้ยาก จึงไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนบริเวณต้นขา  

หลังจากได้รับวัคซีนแล้วอาจรู้สึกไม่สบายตัว อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น และประมาณสัปดาห์ที่ 2 หลังจากฉีดวัคซีนจะมีตุ่มนูนเกิดขึ้น และแตกออกเป็นแผลเล็ก ๆ ที่มีหนอง อาการนี้จะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่ประมาณ 6 สัปดาห์ โดยในช่วงนี้การป้องกันของวัคซีนอาจยังไม่เริ่มทำงานจนกว่าอาการต่าง ๆ จะเข้าสู่ภาวะปกติ

หลังจากฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคแล้ว จะต้องเว้นระยะการฉีดวัคซีนอื่นที่แขนข้างที่ฉีดอย่างน้อย 3 เดือน ส่วนในสตรีที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตรก็สามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ภูมิคุ้มกันจะทำงานได้ช้าโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ในช่วงแรก

ผลข้างเคียงของวัคซีนป้องกันวัณโรค

การฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดแผลเปื่อย ตุ่มนูน อาการปวด คัน ผด หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต นอกจากนี้อาจรู้สึกไม่อยากอาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน และระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังฉีดวัคซีน และคงอยู่เป็นระยะเวลา 1-3 วัน รวมทั้งปัสสาวะมากหรือรู้สึกปวดมากจนต้องปัสสาวะทันที มีอาการแสบหรือเจ็บเวลาปัสสาวะ หนาวสั่น มีอาการของไข้หวัด มีไข้ปานกลาง และอ่อนเพลีย ควรไปพบแพทย์หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิต

หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที

  • ไอ อาเจียน
  • สัญญาณที่บ่งบอกว่าปอดหรือการหายใจผิดปกติ เช่น หายใจไม่อิ่ม ไอ หรือมีไข้
  • มีไข้สูง 39.5 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานกว่า 12 ชั่วโมง
  • มีไข้ปานกลาง 38.5 องศาเซลเซียส ติดต่อกันนานกว่า 48 ชั่วโมง
  • ปวดข้อ เจ็บหน้าอก
  • เจ็บตา ระคายเคืองตา ตาแดง
  • เวียนศีรษะรุนแรงหรือหมดสติ
  • อาการแพ้ยา ได้แก่ ผื่นคัน ลมพิษ คัน บวม แดง ตุ่มพุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ หายใจเสียงดัง แน่นหน้าอกหรือคอ มีปัญหาในการหายใจหรือพูด เสียงแหบ หน้า ปาก ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอบวม
  • สัญญาณที่บ่งบอกว่าตับทำงานผิดปกติ เช่น ปัสสาวะสีเข้ม ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดท้อง อุจจาระสีซีด อาเจียน เป็นต้น
ข้อห้ามของวัคซีนป้องกันวัณโรค

ข้อห้ามของวัคซีนป้องกันวัณโรค

  • ห้ามฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง/ผิดปกติ รวมถึงผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาสเตียรอยด์  ยกเว้นผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถให้วัคซีนนี้ได้  หากไม่ได้รับวัคซีนนี้เมื่อแรกเกิด สามารถให้วัคซีนนี้ได้ถ้ายังไม่มีอาการของวัณโรค และสามารถให้ในทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีได้ เพราะทารกเหล่านี้แม้จะพบว่าติดเชื้อเอชไอวีในภายหลัง ก็ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงจากวัคซีนนี้ถ้าสามารถให้ยาต้านเอชไอวีได้ตามมาตรฐานตั้งแต่วัยทารก ประโยชน์ที่ได้จากวัคซีนมีมากกว่า เพราะเด็กเหล่านี้มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคได้บ่อย
  • หญิงตั้งครรภ์
  • มีแผลติดเชื้อหรือแผลไฟไหม้ตรงบริเวณที่จะฉีดวัคซีนนี้
  • ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน เช่น ไข้หวัดใหญ่

ข้อควรระวังภายหลังได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรค

  • รักษาผิวหนังบริเวณที่ฉีดวัคซีนนี้ให้สะอาด แผลจากการฉีดวัคซีนจะเป็นๆ หายๆอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องใส่ยาหรือปิดแผล เพียงใช้สำลีสะอาดชุบน้ำสะอาด อาจเป็นน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เช็ดรอยแผลให้สะอาดก็เพียงพอ(หรือปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาลผู้ให้วัคซีนแนะนำ) และเตือนบิดามารดาหรือตัวผู้ได้รับวัคซีนเองไม่ให้บ่งตุ่มหนอง กรณีรู้สึกปวดรอยที่ฉีดวัคซีน สามารถให้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol: ยาแก้ปวด, ยาลดไข้) ได้
  • ถ้าต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงที่ฉีดวัคซีนอักเสบโตขึ้น(เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอด้านเดียวกับแขนที่ฉีดวัคซีนโต เมื่อฉีดวัคซีนนี้ที่ต้นแขน)และเป็นฝี ควรไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อได้รับการรักษาตามที่ควร เช่น แพทย์/พยาบาลดูดเอาหนองออก และให้ยาต้านวัณโรคตามความจำเป็น   โดยทั่วไป แพทย์มักให้ยาไอโซไนอะซิด (Isoniazid) เพียงชนิดเดียวและให้ยารักษานานประมาณ 4-6 สัปดาห์    แต่หากเป็นฝีต่อมน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ แพทย์อาจให้ยาไรแฟมปิน( Rifampin) ร่วมด้วย และอาจต้องให้ยารักษานานขึ้นทั้งนี้ขึ้นกับการตอบสนองต่อยาของฝีนั้น
  • วัคซีนป้องกันวัณโรค เป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิตอ่อนฤทธิ์ สามารถให้วัคซีนเชื้อเป็นชนิดอื่นพร้อมกันได้ในวันเดียวกันกับที่ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค แต่หากไม่ฉีดวัคซีนเชื้อเป็นชนิดอื่นพร้อมกันในวันเดียวกันนั้น จะต้องทิ้งช่วงห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ภายหลังได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรคไปแล้ว
  • ทารกแรกเกิดที่ยังมีปัญหาความเจ็บป่วยอยู่ ไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคจนกว่าจะหายดี และพร้อมที่จะกลับบ้าน ไม่ควรฉีดวัคซีนนี้ขณะที่ผู้ป่วยยังต้องอยู่ในโรงพยาบาล เพราะอาจมีการแพร่เชื้อวัณโรคจากแผลโดยไม่ตั้งใจไปสู่ทารกอื่นในโรงพยาบาล ซึ่งกำลังป่วยหนักได้

  • บางครั้งแผลเป็นจากวัคซีนป้องกันวัณโรค อาจเล็กมากจนมองไม่เห็น แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนมิได้ลดลง ดังนั้นหากมีหลักฐานบันทึกว่าเคยได้รับวัคซีนมาก่อน แม้ไม่พบรอยแผลเป็น ก็ไม่จำเป็นต้องให้วัคซีนนี้ซ้ำอีก เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังอาจก่อให้เกิดอาการเฉพาะที่บริเวณที่ฉีดได้มากขึ้น(เช่น การเกิดฝี)และการฉีดวัคซีนนี้ในเด็กที่พ้นวัยแรกเกิด จะทำเมื่อไม่มีหลักฐานบันทึกว่าเคยได้รับวัคซีนนี้มาก่อนและไม่มีแผลเป็นปรากฏเท่านั้น

  • ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบทูเบอร์คูลิน (Tuberculin test หรือ PPD skin test/ Purified protein derivative skin test) ก่อนฉีดวัคซีนนี้ เพราะอาจเกิดผลบวกลวง/ผลบวกปลอม หรือผลลบลวง/ผลลบปลอมจากสาเหตุอื่นๆ ได้มากมาย การฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค อาจทำให้ผิวหนังตรงรอยตรวจ PPD skin test เกิดปฏิกิริยาต่อ PPD skin test ได้ในขนาดต่างๆ ตั้งแต่เล็กจนใหญ่มากๆได้ ซึ่งผลต่อ PPD skin test นี้ จะลดลงตามระยะเวลาหลังจากฉีดวัคซีนนี้ และปฏิกิริยา PPD skin test ไม่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของวัคซีนนี้
  • เด็กทารกที่คลอดจากมารดาที่ป่วยเป็นวัณโรคระหว่างตั้งครรภ์หรือใกล้คลอด ถ้าตรวจร่างกายเด็กทารก และสังเกตอาการเด็กทารกมาได้ระยะหนึ่งแล้วไม่พบว่าเป็นวัณโรคแต่กำเนิด สามารถให้วัคซีนป้องกันวัณโรคได้ แต่ถ้ามารดายังอยู่ในระยะแพร่เชื้อวัณโรค เด็กทารกควรได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรค ร่วมกับยาไอโซไนอะซิด(Isoniazid: ยาต้านวัณโรค)โดยภายหลังได้รับวัคซีนนี้ไปแล้ว ควรรอระยะเวลาอีก 1 – 2 สัปดาห์เพื่อให้วัคซีนนี้เริ่มกระตุ้นภูมิคุ้มกันเด็กทารกเสียก่อน จากนั้น จึงค่อยให้เด็กทารกเริ่มรับประทานยาไอโซไนอะซิด   เพื่อป้องกันเชื้อวัณโรค 

  • กรณีเด็กทารกสัมผัสเชื้อวัณโรคไปแล้ว ควรให้เด็กรับประทานยาไอโซไนอะซิด (Isoniazid: ยาต้านวัณโรค)ก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรค เป็นระยะเวลา 6 – 9 เดือน แล้วหลังจากนั้น จึงฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคแก่ทารก

ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค ที่ภูเก็ตได้ที่ไหน?

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก

    วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน เป็นวัคซีนเชื้อตาย ที่ประกอบไปด้วยแอนติเจนของเชื้อไอกรน และ ท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในประเทศไทยมีวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน อยู่ด้วยกัน 2 ชนิดหลักๆ ซึ่งมีส่วนประกอบ สูตร และส่วนผสมที่แตกต่างกันสำหรับใช้ในกลุ่มอายุต่างๆ:

    วัคซีน DTaP หรือ DTwP วัคซีนนี้ใช้สำหรับทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ของชื่อย่อวัคซีนนี้บ่งบอกว่าปริมาณแอนติเจนของเชื้อไอกรน และท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและบาดทะยัก ในวัคซีนนั้นมีปริมาณสูง

    วัคซีน Tdap วัคซีนนี้ใช้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ ตัวอักษรพิมพ์เล็กภาษาอังกฤษ “d” และ “p” บ่งบอกถึงการลดปริมาณท็อกซอยด์ของเชื้อคอตีบและแอนติเจนของเชื้อไอกรนในวัคซีน เพื่อลดอาการข้างเคียงของวัคซีนที่อาจเกิดขึ้น

  • วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด

    ในประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเพียงชนิดเดียว คือ วัคซีนที่เตรียมจากเชื้อไวรัส varicella zoster ชนิดที่ถูกทำให้อ่อนแรงลง

    จากการศึกษาพบว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ร้อยละ 69.8 และป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อน คือ อาการปวดปลายประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด ได้ถึงร้อยละ 66.5 ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50-59 ปี ส่วนในกลุ่มผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ร้อยละ 51 และป้องกันการเกิดอาการปวดปลายประสาทหลังเป็นโรคงูสวัดได้ร้อยละ 39

  • วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ

    วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโอ คืออะไร?

    วัคซีนป้องกันไวรัสโปลิโ คือ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อความพิการในอนาคต โดยวัยเด็กเป็นวัยที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาทำให้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อวัคซีนสูง ฉะนั้นการได้รับวัคซีนตามกำหนดถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

  • สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายโดยการฉีดวัคซีน

    การสร้างภูมิคุ้มกันโรคอาจทำได้อีกวิธีหนึ่ง โดยการให้ภูมิต้านทานสำเร็จ หรือที่แพทย์เรียกว่า อิมมูโนโกลบูลิน เข้าไปในร่างกายและสามารถต่อต้านเชื้อโรคได้ทันที ซึ่งวัคซีนไม่ได้หมายความถึงแต่การให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็กเท่านั้น แต่ในบางประเภทของวัคซีนมีความมุ่งหมายให้ใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ใหญ่ด้วย ได้แก่ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ นิวโมคอคคัส และวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เป็นต้น

  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ไหนดีในภูเก็ต? แนะนำภูเก็ต เมดิคอล คลินิก

    ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ถือเป็นหนึ่งในโรคติดต่อที่สร้างปัญหาสุขภาพในระดับโลกทุกปี เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตลอดเวลา ทำให้แม้แต่คนที่แข็งแรงก็มีโอกาสป่วยได้ง่าย หากไม่ได้รับการป้องกันที่ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต ที่มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนจำนวนมาก ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อยิ่งสูง การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพที่สุดในการลดความเสี่ยง

    คำถามสำคัญ คือ ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ไหนดีในภูเก็ต? ฉะนั้นเราจะพาคุณไปรู้จักข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ ความสำคัญของวัคซีน ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ และเหตุผลที่ทำไม ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก จึงเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับการดูแลสุขภาพของคุณ และครอบครัว

  • วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ

    วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine) เป็นวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบได้มากกว่า 90 สายพันธุ์  ทำให้เกิดโรคตั้งแต่ คออักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และสามารถลุกลามไปยังอวัยวะในระบบหายใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ เป็นอันตรายถึงขั้นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือดได้