ความสำคัญของการ ตรวจเอชไอวี

การ ตรวจเอชไอวี มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน การตรวจหาเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอชไอวีและเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในบทความนี้ อธิบายถึงความสำคัญของการ ตรวจเอชไอวี โดยเน้นถึงประโยชน์ และแก้ไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ความเข้าใจเกี่ยวกับระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและผลกระทบ เป็นการวางรากฐานว่า ทำไมการ ตรวจเอชไอวี จึงมีความสำคัญ ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ได้สำรวจการตรวจหาเชื้อเอชไอวีประเภทต่างๆ และให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีของผู้ใช้บริการ และข้อดีของการตรวจด้วยการแก้ปัญหาอุปสรรค เน้นความสำคัญของการตรวจเอชไอวีเป็นประจำ ทีมแพทย์ของเรามีความมุ่งมั่นที่จะให้ทุกคนสามารถควบคุมสุขภาพของตนเอง และมีส่วนร่วมในอนาคตของสุขภาพที่ดี

ความสำคัญของการ ตรวจเอชไอวี

ภาพรวมพื้นฐานของไวรัสเอชไอวี และการแพร่เชื้อ

เชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกัน โดยมุ่งเป้าไปที่เซลล์ CD4 (หรือที่รู้จักกันในชื่อ T-Assisted Cell) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไป ไวรัสเอชไอวีจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้คนๆ นั้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไวรัสจะพัฒนาไปสู่ระยะสุดท้าย ที่เรียกว่าโรคเอดส์ มีโอกาสเสียชีวิตได้ในที่สุด

ไวรัสเอชไอวี ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งในร่างกายบางชนิด ได้แก่ เลือด น้ําอสุจิ น้ําหล่อลื่นในช่องคลอด และนมแม่ วิธีที่พบบ่อยที่สุดในการแพร่เชื้อเอชไอวี ได้แก่:

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: ไวรัสเอชไอวีสามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะในกรณีที่มีแผลเปิด บาดแผลสดใหม่ หรือเยื่อเมือกอักเสบ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อได้โดยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เข็มฉีดยา หรืออุปกรณ์ฉีดยาอื่นๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
  • การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก: มารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี สามารถแพร่เชื้อไปยังลูกน้อยในท้องได้ระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมบุตร
  • การถ่ายเลือดและการปลูกถ่ายอวัยวะ: แม้ว่าปัจจุบันจะพบได้ยาก เนื่องจากในประเทศไทยมีกระบวนการคัดกรองโรคที่เข้มงวด แต่เชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถแพร่กระจายได้โดยการถ่ายเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะที่ติดเชื้อ
  • อุบัติเหตุทางการแพทย์: บุคลากรทางการแพทย์หรือเจ้าหน้าที่แพทย์อาจเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวี จากการถูกเข็มทิ่มตำ หรือมีดผ่าตัดบาดมือจากผู้ป่วยติดเชื้อโดยไม่ได้ตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสเอชไอวีไม่ติดต่อทางการสัมผัส เช่น การกอด การจับมือ หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน นอกจากนี้ ยังไม่แพร่กระจายทางอากาศ น้ำ แมลง หรือผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจูบ การไอ หรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี การปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ เช่น:

  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ในการเสพยาร่วมกับผู้อื่น
  • การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • หมั่น ตรวจเอชไอวี เป็นประจำและสนับสนุนให้คู่นอนไปตรวจด้วยกัน
  • ส่งเสริมการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีก่อนเสี่ยง (PrEP) เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ
  • วางแผนครอบครัวก่อนมีบุตรด้วยการปรึกษาแพทย์ และเข้ารับการ ตรวจเอชไอวี ทั้งสามีภรรยา

การวินิจฉัยเอชไอวีตั้งแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลทางการแพทย์และการรักษาที่เหมาะสม เช่น การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ที่สามารถช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่น

ประโยชน์ของการ ตรวจเอชไอวี

ประโยชน์ของการ ตรวจเอชไอวี และรู้สถานะเลือดของตัวเอง

การทราบสถานะเอชไอวี มีประโยชน์ที่สำคัญหลายประการ คือ:

  • การรักษาแต่เนิ่นๆ และผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้น
    • หากมีคนตรวจเอชไอวี และพบผลเลือดบวก การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้พวกเขาเริ่มการดูแลทางการแพทย์และการรักษาที่เหมาะสม เช่น การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ช่วยยับยั้งไวรัส ชะลอการลุกลามของเชื้อเอชไอวี และปรับปรุงการทำงานของภูมิคุ้มกัน การเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มอายุขัย และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์
  • การป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
    • ผู้ที่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี สามารถดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้ การปฏิบัติตามการรักษาเพื่อให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจมาตรฐาน) ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังคู่นอนจะลดลงอย่างมาก วิธีการนี้เรียกว่า U=U ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่เชื้อ
  • การเข้าถึงบริการสนับสนุนและการดูแล
    • การทราบสถานะเอชไอวี ช่วยให้สามารถเข้าถึงบริการสนับสนุนต่างๆ เชื่อมต่อกับแพทย์ ผู้ให้คำปรึกษา และกลุ่มสนับสนุนที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลเอชไอวี แหล่งข้อมูลเหล่านี้ให้การสนับสนุนทางอารมณ์ คำแนะนำ การศึกษา และความช่วยเหลือเชิงปฏิบัติในการจัดการเอชไอวี
  • การตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และอนามัยทางเพศ
    • การตระหนักรู้ถึงสถานะเอชไอวี ช่วยให้ตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และอนามัยทางเพศ สามารถสนทนาอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา กับคู่นอนเกี่ยวกับการป้องกันเอชไอวี การใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันตนเองและคู่ของตน นอกจากนี้ มารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีหากต้องการมีบุตร สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาทางเลือกสำหรับการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย และป้องกันการแพร่เชื้อไปยังทารกน้อยในครรภ์
  • มีส่วนร่วมในกลยุทธ์การป้องกันเอชไอวี
    • การรู้สถานะเอชไอวีจะกระตุ้นให้ทุกคนดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง เข้าถึงบริการลดอันตรายสำหรับผู้ที่ใช้ยาเสพติด และส่งเสริมการรับรู้และการศึกษาเรื่องเอชไอวีในชุมชนของพวกเขา

สุดท้ายนี้ การรู้สถานะเอชไอวีทำให้สบายใจ ช่วยขจัดความไม่แน่นอน และช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้ การตรวจและการรับรู้สถานะเอชไอวีเป็นประจำ สามารถลดความวิตกกังวล ส่งเสริมการดูแลตนเอง และทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข พร้อมๆ กับจัดการกับสถานะเอชไอวีของตนได้ โดยรวมแล้ว การทราบสถานะเอชไอวีของตนเองมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดี การป้องกันการแพร่เชื้อ การเข้าถึงการดูแลและการสนับสนุนที่เหมาะสม และการตัดสินใจอย่างรอบรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และอนามัยการเจริญพันธุ์ เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดการกับเชื้อเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่ชีวิตที่มีสุขภาพดี

ประเภทของการ ตรวจเอชไอวี

ประเภทของการ ตรวจเอชไอวี

ประเภทของการตรวจเอชไอวีมีหลายวิธี ได้แก่:

  • ตรวจเอชไอวี ด้วยการหา Antigen ของเชื้อ (HIV p24 Antigen Testing) เป็นการตรวจหาโปรตีนแอนติเจนที่มีชื่อว่า p24 ใช้สำหรับการตรวจเอชไอวีในระยะแรกหลังมีความเสี่ยงประมาณ 14 วันหรือ 2 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งในระยะนี้ร่างกายยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวีได้ทัน แต่ก็ยังคงแนะนำให้มีการตรวจซ้ำด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติมด้วย
  • ตรวจเอชไอวี ด้วยการหา Antibody ของเชื้อ (Anti-HIV Testing) เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สร้างมาเพื่อต่อสู่กับเชื้อเอชไอวี ใช้สำหรับการตรวจเอชไอวี หลังมีความเสี่ยงตั้งแต่ 30 วันหรือ 4 สัปดาห์ขึ้นไป โดยเป็นวิธีที่นิยมตรวจมากที่สุด เพราะสามารถรู้ผลได้เร็วภายใน 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
  • การตรวจโดยใช้ชุดตรวจแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อ HIV และตรวจแอนติเจนของเชื้อพร้อมกัน (HIV Ag/Ab Combination Assay) หรือเรียกอีกอย่างว่า ตรวจแบบใช้น้ำยา Fourth Generation ซึ่งเป็นการตรวจ Anti-HIV และ HIV p24 Antigen ในคราวเดียวกัน ปัจจุบันน้ำยาประเภทนี้มีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยสามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วที่สุด 14-15 วัน หลังติดเชื้อเรียกว่าการตรวจด้วยน้ำยา Gen 4th
  • การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV (Nucleic Acid Amplification Testing: NAT) สำหรับการตรวจแบบแนทนี้ใช้เพื่อติดตามปริมาณไวรัส (Viral Load) ก่อนและหลังการรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความรวดเร็วมาก สามารถตรวจการติดเชื้อได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังติดเชื้อโดยไม่ต้องรอนานถึง 14 วัน แพทย์มักจะนิยมใช้กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อ HIV และใช้ในการตรวจคัดกรองเลือดผู้บริจาคโลหิต

โปรดทราบว่าการตรวจเหล่านี้ใช้สำหรับการตรวจคัดกรอง และการตรวจหาเบื้องต้น หากการตรวจมีผลเป็นบวก จำเป็นต้องมีการตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยเอชไอวี การตรวจยืนยันมักเกี่ยวข้องกับขั้นตอนในห้องปฏิบัติการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการตรวจที่เหมาะสมที่สุด

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

การตรวจเอชไอวี มีบทบาทสำคัญในสุขภาพส่วนบุคคลและสาธารณะ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตรวจหา การป้องกัน และการจัดการการติดเชื้อเอชไอวีในระยะเริ่มต้น การตรวจตามปกติช่วยให้สามารถแทรกแซงได้ทันท่วงที เข้าถึงการดูแลที่เหมาะสม และลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ การเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เช่น การตีตรา การขาดความตระหนัก การเข้าถึงที่จำกัด และความกังวลเรื่องการรักษาความลับเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการตรวจอย่างกว้างขวาง การตรวจสุขภาพเป็นประจำ รวมถึงการตรวจหาเชื้อเอชไอวี จะช่วยให้สามารถประเมินสุขภาพโดยรวมได้อย่างครอบคลุม และช่วยให้ตรวจพบภาวะอื่นๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การศึกษา ตัวเลือกการตรวจที่เข้าถึงได้ และการมีส่วนร่วมของชุมชน คือ กุญแจสำคัญในการส่งเสริมการยอมรับการตรวจด้วยการจัดการกับปัจจัยเหล่านี้ ปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพ และลดผลกระทบของเอชไอวีต่อบุคคลและชุมชน

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • ตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear)

    การตรวจแปบเสมียร์ Pap Smear หรือ Pap Test ย่อมาจาก The Papanicolaou Smear หรือมีชื่อเรียกแบบเป็นทางการว่า Conventional Pap Smear  เป็นแนวทางการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ผ่านการใช้เครื่องมือ Speculum สอดเข้าไปในปากช่องคลอดลึกถึงบริเวณปากมดลูก เพื่อป้ายเก็บตัวอย่างเซลล์เยื่อบุผิวในตำแหน่งดังกล่าว จากนั้นนำออกมาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาเซลล์ที่ผิดปกติและบ่งบอกถึงโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกในอนาคต ซึ่งถือเป็นวิธีการตรวจที่ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย ประหยัดเวลา และมีราคาไม่สูง 

  • ทำไมการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถึงเป็นเรื่องสำคัญ?

    การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) นับเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง และยังรวมไปถึงตรวจในโอกาสก่อนแต่งงาน หรือก่อนตั้งครรภ์ เพื่อลดการแพร่กระจ่าย นอกจาก ความน่ากลัวของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ โรคบางโรคไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะผู้หญิง เช่น เชื้อเอชไอวี ซึ่งกว่าผู้ติดเชื้อจะทราบอาการก็อยู่ในระยะรุนแรงที่ยากต่อการดูแลรักษา 

  • โรคไวรัสตับอักเสบบี

    ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบบีนั้น สามารถติดต่อทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง  และการติดต่อจากแม่สู่ลูกซึ่งเป็นทางติดต่อที่พบมากที่สุด 

  • การตรวจโรคไข้เลือดออก

    โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝน

    เนื่องจากอาการของโรคไข้เลือดออกในระยะแรกๆ คล้ายกับโรคติดเชื้อหลายโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และไข้จากสาเหตุอื่น ดังนั้น นอกเหนือจากการสังเกตอาการ และซักประวัติความเป็นอยู่ของผู้ป่วยแล้ว 

    การตรวจวินิจฉัยจะช่วยให้ยืนยันได้ว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสเดงกี่หรือไม่ หากสามารถตรวจได้เร็ว ก็จะทำให้สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการติดต่อของโรคได้อีกด้วย แพทย์วินิจฉัยโรคไข้เลือดออกด้วยการตรวจเพิ่มเติม และตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • อยากรู้ว่าเป็นโรคภูมิแพ้อะไร? ด้วยการตรวจภูมิแพ้

    โรคภูมิแพ้ โรคยอดฮิตที่คนไทยเป็นกันมากที่สุด และเป็นได้ทุกเพศทุกวัย  โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะไวผิดปกติ โดยเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายไวต่อสารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรา  ซึ่งปกติแล้วสารเหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายกับคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จะไวต่อสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่น เชื้อรา ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหาร ฯลฯ ส่งผลให้เกิดอาการไอ จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก มีผื่นคันแดง คันตา ฯลฯ แต่สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการตรวจหาสาเหตุของภูมิแพ้ให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การป้องกันตนเองอย่างตรงจุดซึ่ง ทางการแพทย์จึงได้มีการทดสอบภูมิแพ้ที่ช่วยค้นหาสาเหตุของการแพ้ เพื่อให้คนไข้ดูแลตัวเองได้ง่ายขึ้น

  • วิธีป้องกันโรคหูดหงอนไก่

    โดยทั่วไปเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่จะไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่หากมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หลายสายพันธุ์รวมกัน โดยเฉพาะสายพันธุ์ชนิดความเสี่ยงสูง ก็อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ได้ เช่น การตกขาวที่มากผิดปกติ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งที่ปากหรือคอหอยในเพศหญิง และมะเร็งองคชาต หรือมะเร็งทวารหนักในเพศชาย