วิธีป้องกันโรคหูดหงอนไก่

โรคหูดดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส  (Human papilloma virus : HPV) ชนิดที่ทำให้เกิดหูด หรือติ่งเนื้อขรุขระคล้ายหงอนไก่ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือทวารหนัก ทำให้รู้สึกคัน แสบร้อน หรือมีตกขาว โรคหูดหงอนไก่เป็นโรคที่เจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้น ทำให้เกิดรอยโรค หรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้แต่เชื้อเอชพีวีจะคงอยู่ในร่างกายตลอดไป โดยธรรมชาติ เชื้อเอชพีวี ชนิดที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง เว้นแต่มีการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ความเสี่ยงสูงร่วมด้วย ที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งทวารหนักได้

เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์ หรือกิจกรรมทางเพศอื่น ๆ แต่ไม่สามารถติดต่อกันผ่านการจูบ การกอด หรือการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันได้ โรคหูดหงอนไก่สามารถติดต่อได้ทั้งชาย และหญิง และจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้นหากเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ และมีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย

วิธีป้องกันโรคหูดหงอนไก่

บริเวณที่มักพบโรคหูดหงอนไก่

  • เยื่อบุผิวหนังอวัยวะเพศชาย หรืออวัยวะเพศหญิง
  • ใต้หนังหุ้มปลายองคชาต หนังหุ้มองคชาต หนังหุ้มอัณฑะ
  • ปาก ริมฝีปาก คอหอย
  • ปากมดลูก ภายในช่องคลอด
  • ท่อปัสสาวะ
  • รอบทวารหนัก ฝีเย็บ
  • ขาหนีบ
  • ลำไส้ตรง หรือลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
  • รอบปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด
  • แคมเล็ก หรือแคมใน (Labia minora)
  • แคมใหญ่ หรือแคมนอก (Labia minora)

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ 

โดยทั่วไปเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่จะไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่หากมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หลายสายพันธุ์รวมกัน โดยเฉพาะสายพันธุ์ชนิดความเสี่ยงสูง ก็อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ได้ เช่น การตกขาวที่มากผิดปกติ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งที่ปากหรือคอหอยในเพศหญิง และมะเร็งองคชาต หรือมะเร็งทวารหนักในเพศชาย

นอกจากนี้ การติดเชื้อโรคหูดหงอนไก่จากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดตามธรรมชาติ ยังสามารถทำให้ทารกติดโรคหูดหงอนไก่จากสารคัดหลั่งที่อยู่บริเวณช่องคลอดได้ ทำให้ทารกเป็นหูดที่บริเวณทางเดินหายใจ หลอดลม หรือคอหอยที่ปิดกั้นทางเดินหายใจจนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และเสียชีวิต ดังนั้น แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้

  • การกลับมาเป็นซ้ำของโรค สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกมากถึงร้อยละ 70 ในระยะเวลา 6 เดือนหลังพบแพทย์ครั้งแรก โดยการเกิดโรคซ้ำอาจมีสาเหตุเกิดจากการใช้ยารักษาโรคที่ไม่มีประสิทธิภาพ การติดเชื้อโรคซ้ำอาจเกิดจากการกลับไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือไม่ปลอดภัย และเกิดจากรอยโรคเดิมที่เคยเป็นได้อีกด้วย ที่แฝงในร่างกายจากภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ หรือโรคบางโรค เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคเอดส์
  • มะเร็งโรคหูดหงอนไก่ และมะเร็ง เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสเอชพีวีเหมือนกัน แต่แตกต่างที่สายพันธุ์ โดยธรรมชาติ ร่างกายสามารถติดเชื้อไวรัสหลายชนิดหรือหลายสายพันธุ์พร้อม ๆ กันได้ จึงทำให้ชาย และหญิงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่บริเวณอวัยวะเพศได้มากขึ้น นอกจากมะเร็งปากมดลูกที่พบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อเอชพีวีแล้ว ยังพบว่าเชื้อนี้มีความสัมพันธ์กับมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งที่อวัยวะเพศชาย มะเร็งที่ทวารหนัก หรือมะเร็งที่บริเวณปากและคออีกด้วย จึงทำให้ในระหว่างการรักษาหรือหลังจากการรักษา แพทย์จะต้องทำการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด 
    โดยเฉพาะในเพศหญิง เนื่องจากธรรมชาติของการติดเชื้อไวรัสมักจะติดพร้อมกันหลาย ๆ สายพันธุ์ ทำให้ผู้หญิงควรตรวจแปปสเมียร์อย่างน้อยทุก ๆ 3-6 เดือนเพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงภายในอุ้งเชิงกรานที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งภายในอุ้งเชิงกราน หรืออาจทำให้ได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้
  • ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ โรคหูดหงอนไก่สามารถส่งผลกระทบได้มากโดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์ หูดที่ขึ้นอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไปขัดขวางทางเดินปัสสาวะ หรือถ้าหากหูดหงอนไก่ขึ้นบริเวณผนังมดลูก ก็จะทำให้ผนังมดลูกขยายตัวได้ไม่เต็มที่ หรืออาจทำให้เกิดเลือดออกขณะคลอด รวมถึงส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีหูดหงอนไก่เกิดขึ้นบริเวณคอจนไปขัดขวางทางเดินหายใจจนต้องทำการผ่าตัดโดยด่วนเพื่อเคลียร์ช่องทางหายใจ
    ในบางกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อย ทารกที่เกิดมาอาจมีหูดหงอนไก่ขึ้นภายในลำคอ คอหอย หลอดลม หรือเส้นเสียง ซึ่งจะไปขัดขวางทางเดินหายใจของเด็กจนเด็กเป็นอันตรายถึงชีวิต ทำให้ต้องได้รับการผ่าตัดในทันที ทั้งนี้การผ่าตัดหูดหงอนไก่ในทารกอาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้หายสนิท และสร้างความทรมานแก่เด็กเป็นอย่างมาก
วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

การป้องกันโรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่ไม่ใช่โรคร้ายแรง สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีนและสามารถรักษาให้หายได้ โดยเมื่อพบอาการแสดงของโรค ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ และรับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผู้ที่เคยเป็นโรคหูดหงอนไก่และรักษาจนหายดีแล้ว ควรรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันคงที่ เพียงเท่านี้ก็จะมีสุขอนามัยที่ดี และลดโอกาสการเป็นโรคซ้ำได้

มีวิธีการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ มีดังนี้

  • การพบแพทย์ทันทีเมื่อสังเกตเห็นรอยโรคที่อวัยวะเพศ หรือผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีอาการของโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  • การตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน
  • ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์ ช่วยลดการติดเชื้อเอชพีวี และช่วยให้สามารถกำจัดเชื้อได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้แก่ เชื้อเอชไอวี หนองในแท้ หนองในเทียม และโรคเริม ได้อีกด้วย
  • ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอวัยวะของผู้ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมโลดโผนทางเพศ
  • รักษาความสะอาดของร่างกาย
  • รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • การขลิบอวัยวะเพศชาย (Male circumcision) ช่วยลดการติดเชื้อเอชพีวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ได้แก่เอชไอวี และ เริม

วัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine)

ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อหูดบางสายพันธุ์ได้ ในประเทศไทยมี วัคซีน 2 ชนิด ได้แก่

  1. วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (Cervarix) ประกอบด้วยสายพันธุ์ที่ 16 และ 18
  2. วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (Gardasil) ประกอบด้วยสายพันธุ์ที่ 6, 11, 16 และ 18

วัคซีนทั้ง 2 ชนิด สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70% สำหรับวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ สามารถป้องกันเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดอวัยวะเพศประมาณ 90% ได้ด้วย การฉีดวัคซีนจะต้องฉีด 3 เข็ม และควรฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ โดยสามารถฉีดได้ทั้งเพศหญิง และเพศชาย ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี(20) และ ห้ามฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์

ตรวจโรคหูดหงอนไก่ และฉีดวัคซีนป้องกัน ที่ภูเก็ตได้ที่ไหน?

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • การดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

    เมื่อเราพูดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เราต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเผชิญหน้าได้ เราต้องการความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้เพื่อป้องกันและดูแลตัวเองเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับโรค และการดูแลตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และวิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต

    โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ โรคที่ติดเชื้อ และแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งจากการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก ปัญหาหลักของโรคเหล่านี้ คือ ผู้ป่วยจะรู้ว่าตนเองป่วยหรือมีความผิดปกติเมื่อเวลาผ่านไปนาน บางคนก็เพิกเฉยต่ออาการเหล่านั้น หรืออายที่จะเข้ารับการรักษากับแพทย์ ทำให้โรคนั้นรุนแรงลุกลามเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ทันเวลา

  • การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีมีความสำคัญอย่างไร?

    เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี และเชื้อเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  โดยจะทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า CD4  ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง หากไม่ได้รับการรรักษา จะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง และทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่น ปอดอักเสบ วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น 

    ด้วยปัจจุบันมีการพัฒนายารักษาคนที่ติดเชื้อเอชไอวี สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป  หากผู้ติดเชื้อเอชไอวี เริ่มทานยาต้านไวรัสโดยเร็ว  และทานยาสม่ำเสมอ ตรงเวลา โดยโรคเอดส์นี้เป็นโรคที่เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้  ก่อนที่เราจะไปทราบการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เราต้องควรรู้ไว้ว่าโรคเอดส์ติดต่อได้ทางไหนบ้าง

  • โรคไวรัสตับอักเสบซี

    ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี  สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจาม หรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน

  • โรคติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด

    โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital syphilis) สามารถติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดได้ ซึ่งนับเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง และมีผลร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้  โดยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดส่งผลต่อสุขภาพของทารก

    โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital syphilis) สามารถติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดได้ ซึ่งนับเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง และมีผลร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้  โดยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดส่งผลต่อสุขภาพของทารก

  • ยาเพร็พ (PrEP) และยาเป๊ป (PEP) มีความแตกต่างกันอย่างไร?

    ยาเพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis)

    คือ ยาที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี หรือกินก่อนที่จะไปติดเชื้อเอชไอวี โดยเริ่มกินเตรียมไว้ก่อนจะมีโอกาสสัมผัสเชื้อ โดยการรับประทานยาวันละหนึ่งเม็ดทุกวัน ตัวยาจะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย เมื่อตัวยาในร่างกายมีสูงมากพอจะสามารถป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีเกาะกับเม็ดเลือดขาวได้

    ยาเป๊ป (PEP- Post-Exposure Prophylaxis)

    คือ ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสเชื้อ ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือ สำหรับผู้ไม่ติดเชื้อที่บังเอิญหรือมีความจำเป็น หรือไม่ตั้งใจแต่ไปสัมผัสเชื้อเอชไอวี มาแล้ว โดยต้องกินยาต้านให้เร็วที่สุดหลังสัมผัสเชื้อ

  • โรคหูดข้าวสุก

    โรคหูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum)เป็นโรคติดต่อได้จากผิวหนังสู่ผิวหนัง และจัดเป็นโรคที่ไม่รุนแรง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย และในวัยเจริญพันธุ์มักพบรอยโรคที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ติดต่อผ่านทางการสัมผัส หรือการมีเพศสัมพันธ์