ภูเก็ตรักษา ซิฟิลิส (Syphilis) ที่ไหน?

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นภัยคุกคามทางเพศที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Treponema pallidum ภาวะซิฟิลิสสามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์ โดยทั่วไปจะเกิดจากการมีสัมผัสตรงกับเลือด , น้ำเชื้อ หรือเนื้อเยื่อที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการติดเชื้อนี้ ซิฟิลิสสามารถแพร่กระจายได้ในระหว่างการตั้งครรภ์จากแม่พิมพ์ไปยังทารกเมื่อไม่ได้รับการรักษาตรงเวลา ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อทารกในระยะยาว

อาการของซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

อาการของซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1: ระยะตุ่มเหงื่อ (Primary stage)

ระยะนี้ เป็นระยะแรกที่เชื้อเข้าไปในร่างกาย จะปรากฏตุ่มเหงื่อเล็กๆ ที่ส่วนที่มีการสัมผัสตรงกับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือทวารหนัก ตุ่มเหงื่อส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด และอาจหายไปโดยไม่มีการรักษาเอง ในระยะนี้การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

ในระยะนี้ เป็นระยะแรกที่เชื้อเข้าไปในร่างกาย จะปรากฏตุ่มเหงื่อเล็กๆ ที่ส่วนที่มีการสัมผัสตรงกับเชื้อ เช่น อวัยวะเพศ ร่องคลอด หรือร่องทวารหนัก ตุ่มเหงื่อส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด และอาจหายไปโดยไม่มีการรักษาเอง ในระยะนี้การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

ระยะที่ 2: ระยะต่อต้าน (Secondary stage)

หากไม่ได้รับการรักษาในระยะตุ่มเหงื่อ ซิฟิลิสจะเข้าสู่ระยะต่อต้าน ในระยะนี้อาการส่วนใหญ่คือผื่นผิวหนังที่มีลักษณะเป็นแผ่นแดงขนาดใหญ่และหลากหลายรูปแบบ อาจปรากฏบริเวณทั่วตัวหรือบริเวณบางส่วนเช่น ใบหน้า ลำตัว แขน ขา รวมทั้งในช่องปาก ผื่นบางรายอาจเป็นก้อนหรือแผ่นหนาที่มีสะเก็ดตรงกลาง นอกจากผื่นผิวหนัง อาจมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาการคลื่นไส้ และไข้สูง

ระยะที่ 3: ระยะที่เข้าสู่อวัยวะในร่างกาย (Tertiary stage)

หากไม่ได้รับการรักษาในระยะต่อต้าน ซิฟิลิสจะเข้าสู่ระยะที่เรียกว่าระยะที่เข้าสู่อวัยวะ ในระยะนี้เชื้อซิฟิลิสจะกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในร่างกาย เช่น เลือด สมอง หัวใจ กระดูก และอวัยวะอื่นๆ อาการที่เกิดขึ้นอาจเป็นลักษณะอวัยวะภายในที่พบได้บ่อยคือการกระทบกระเทือนในระบบประสาท ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการสูญเสียความจำ สมาธิลดลง และอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาท

การรักษาซิฟิลิส (Syphilis)

การรักษาซิฟิลิส (Syphilis)

  1. การวินิจฉัยซิฟิลิส การวินิจฉัยซิฟิลิสเริ่มต้นด้วยการสำรวจอาการและประวัติเจ็บป่วยของผู้ป่วย แพทย์อาจสังเกตเห็นเป็นลักษณะเฉพาะบนผิวหนังหรือเยื่อบุคลิกภาพที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อตัวนับ (Rapid Plasma Reagin test) หรือการตรวจเอนซิม (Enzyme immunoassay) อาจถูกนำมาใช้เพื่อรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดเชื้อซิฟิลิส
  2. การรักษาซิฟิลิส การรักษาซิฟิลิสส่วนใหญ่ใช้การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ Treponema pallidum ในร่างกาย ยาเบนเซนพีลลายน์ (Penicillin) เป็นยาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการรักษาหลักและมีประสิทธิภาพสูง การให้ยาจะขึ้นอยู่กับระยะของการติดเชื้อและอาการของผู้ป่วย ซึ่งอาจต้องให้ยาซ้ำหลายครั้งและในระยะเวลาที่กำหนด
  3. การติดตามการรักษา การติดตามการรักษาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อตรวจสอบว่าการรักษาเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรับยาและการรักษาต่อเนื่อง เพื่อให้เชื้อซิฟิลิสถูกกำจัดอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การตรวจเลือดเพิ่มเติมอาจจะต้องทำเพื่อประเมินผลการรักษาและตรวจสอบการฟื้นตัวของผู้ป่วย
  4. ความระมัดระวัง และการป้องกัน สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อซิฟิลิส และได้รับการรักษาแล้ว ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อใหม่ ทำการตรวจสุขภาพประจำเป็นประจำ และปฏิบัติเพศสุขภาพที่ปลอดภัย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

การป้องกันซิฟิลิส (Syphilis)

  1. การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซิฟิลิส ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการสัมผัสของน้ำเชื้อร้ายที่อาจเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อซิฟิลิส
  2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง การลดความเสี่ยงในการติดเชื้อซิฟิลิสสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จัก หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่แท้ที่ได้รับการตรวจสุขภาพ และไม่มีประวัติการติดเชื้อซิฟิลิส
  3. ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ เช่น ตรวจเอชไอวี และซิฟิลิส ช่วยในการตรวจจับภาวะซิฟิลิสในระยะเริ่มต้น การตรวจสุขภาพประจำเป็นประจำช่วยให้คุณรับรู้สถานะของสุขภาพเพื่อตัดสินใจและรับมือกับสถานการณ์ที่เป็นไปได้
  4. ความรับผิดชอบในการมีเพศสัมพันธ์ การมีความรับผิดชอบในการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ คุณควรทำความเข้าใจและปฏิบัติตามวิธีการป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกต้อง และตรวจสุขภาพประจำเป็นประจำ

รักษาซิฟิลิส (Syphilis) ที่ไหนในภูเก็ต

ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ให้บริการที่ใกล้ชิด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมทั้งทีมงานที่มีความชำนาญ พร้อมให้คำปรึกษาและ การรักษา โดยคุณสามารถเข้ารับบริการได้ทั้ง walk-in หรือนัดหมายล่วงหน้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ

ช่องทางการติดต่อ

สาขาลากูน่า

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาลากูน่า ตั้งอยู่ที่ 58/1 ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83100
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 21.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id. @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ 096 236 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/SXaeLrSU9Lx47YPH6
  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://pmclaguna.youcanbook.me

สาขาในเมือง

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก สาขาเมืองภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ 41/7-41/8  ตำบลตลาดเหนือ  อำเภอเมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต 83000 
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์ 09.00 – 20.00 น.
  • สอบถามผ่าน Line id.   @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ  096 288 2449
  • แผนที่คลินิก   https://maps.app.goo.gl/yeU9qNArGg3qdwZw9 
  • จองคิวตรวจออนไลน์    https://pmctown.youcanbook.me

สาขาหอนาฬิกา

  • ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก  สาขาหอนาฬิกา   206/8 ถ. ภูเก็ต ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต 83000
  • เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์        10.00- 20.00น. (ช่วงเเรก)
  • สอบถามผ่าน Line id.  @pmcphuket (มี @ ด้วยนะครับ)
  • เบอร์โทรติดต่อ   096 696 2449
  • แผนที่คลินิก https://maps.app.goo.gl/svPvTabmmD1DHe9v9
  • จองคิวตรวจออนไลน์  https://phuketmedicalclinic.youcanbook.me

Similar Posts

  • ความสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

    เพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex )  คือ ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการป้องกันตัวเอง และคู่ของคุณให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและทำให้คุณมีเพศสัมพันธ์ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งการป้องกันมีได้หลายวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะการใส่ถุงยางอนามัย หรือการคุมกำเนิด ซึ่งถ้าเราป้องกันอย่างถูกวิธีก็ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งครรภ์ในขณะที่ไม่พร้อม

  • ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลริมอ่อน

    โรคแผลริมอ่อนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อ Haemophilus Ducreyi ซึ่งทำให้เกิดแผลเปื่อยบริเวณอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง ซึ่งอาจมีเลือดหรือของเหลวไหลออกมาจากแผล และผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบโตผิดปกติร่วมด้วย ทำให้สามารถแพร่เชื้อไปยังคู่นอนระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ทางปาก รูทวาร หรือช่องคลอดได้ บางครั้งเรียกว่า โรคซิฟิลิสเทียม เนื่องจากทำให้เกิดแผลได้เช่นกัน ต่างกันตรงที่โรคแผลริมอ่อนจะมีอาการเจ็บปวด และขอบแผลจะนิ่มอ่อน  แต่แผลซิฟิลิสจะไม่มีอาการปวด และขอบแผลจะแข็ง

  • โรคพยาธิในช่องคลอด

    โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis หรือเรียกสั้นๆ ว่า Trich) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย  ซึ่งตัวพยาธินั้นมีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องดูผ่านกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น ความน่ากลัวของโรคนี้คือหากเป็นแล้วจะพบผู้ป่วยที่แสดงอาการเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว และแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอนได้

    โดยผู้หญิงมีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอดส่งกลิ่นเหม็น มีตกขาวสีเขียวและเป็นฟอง เจ็บขณะปัสสาวะ รวมทั้งอาจทำให้หญิงมีครรภ์เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ส่วนผู้ชายสามารถติดเชื้อนี้ได้เช่นกันแต่มักไม่แสดงอาการ

  • ทำความรู้จักกับถุงยางอนามัยผู้หญิง

    ถุงยางอนามัยผู้หญิง (Female condom) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสอดเข้าไปภายในช่องคลอดของสตรีก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์  เพื่อกีดขวางไม่ให้อสุจิของผู้ชายเข้าไปผสมกับไข่ในช่องคลอด หรือดักจับอสุจิของเพศชายเอาไว้ไม่ให้ผ่านเข้าสู่โพรงมดลูกไปปฏิสนธิกับเซลล์ไข่แล้วเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น  หากใช้อย่างถูกวิธีอาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 95% อีกทั้งการสวมถุงยางอนามัยผู้หญิงยังอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในเทียม หนองในแท้ โรคหูด โรคเริม การติดเชื้อเอชไอวี โรคซิฟิลิส และการติดเชื้อตับอักเสบ ลักษณะของถุงยางอนามัยผู้หญิงทำมาจากพอลิยูรีเทน (Polyurethane)  ซึ่งมีขนาดบาง อ่อนนุ่ม มีความยาว 6.5 นิ้ว หรือยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ที่ปลายถุงทั้งสองด้านมีห่วงยางหรือวงแหวนยืดหยุ่น 2 วง เพื่อให้เกิดความกระชับและคงรูปร่างไว้ได้ในขณะใช้งาน ปลายถุงด้านหนึ่งตันเพื่อใช้สอดเข้าไปในช่องคลอด ส่วนปลายถุงอีกด้านหนึ่งจะเป็นปลายเปิดยื่นออกมานอกช่องคลอด ภายในถุงยางอนามัยจะมีน้ำยาหล่อลื่น แต่ไม่มียาฆ่าเชื้ออสุจิ

  • การตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี และซี

    และซี

    การที่เราจะทราบว่าเรากำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่หรือไม่นั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มจากการซักประวัติอาการก่อน ประวัติการฉีดวัคซีน รวมไปถึงการได้รับเลือดหรือส่วนประกอบอื่นๆ ของเลือด จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย มีการเอกซ์เรย์ และเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • ความสำคัญของการ ตรวจเอชไอวี

    การ ตรวจเอชไอวี มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน การตรวจหาเชื้อตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอชไอวีและเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในบทความนี้ อธิบายถึงความสำคัญของการ ตรวจเอชไอวี โดยเน้นถึงประโยชน์ และแก้ไขความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ความเข้าใจเกี่ยวกับระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและผลกระทบ เป็นการวางรากฐานว่า ทำไมการ ตรวจเอชไอวี จึงมีความสำคัญ ภูเก็ต เมดิคอล คลินิก ได้สำรวจการตรวจหาเชื้อเอชไอวีประเภทต่างๆ และให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีของผู้ใช้บริการ และข้อดีของการตรวจด้วยการแก้ปัญหาอุปสรรค เน้นความสำคัญของการตรวจเอชไอวีเป็นประจำ ทีมแพทย์ของเรามีความมุ่งมั่นที่จะให้ทุกคนสามารถควบคุมสุขภาพของตนเอง และมีส่วนร่วมในอนาคตของสุขภาพที่ดี